หน้าเว็บ

Powered By Blogger

วันพฤหัสบดีที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เรื่องแปลก


คุณแม่ชาวอียิปต์คลอดลูกแฝด 7 รวดเดียว โดยเป็นชาย 4 และหญิง 3 แพทย์สุดทึ่งไม่เคยพบเห็นมาก่อน


สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงาน เมื่อวันที่ 17 สิงหาคม.ว่า นางกาซาลา คามิส หญิงชาวอียิปต์วัย 27 ปี ได้คลอดลูกแฝด 7 คน ที่โรงพยาบาลในเมืองอเล็กซานเดอร์ ประเทศอียิปต์ ซึ่งเป็นเด็กชาย 4 คน และเด็กหญิง 3 คน น้ำหนักตัวทั้งหมดตั้งแต่ ตั้งแต่ 3.2 ปอนด์ - 6.17 ปอนด์ โดยเด็กแฝดทั้ง 7 ถูกจับเข้าห้องอบอุณหภูมิ ขณะที่ นางกาซาลา มีอาการปลอดภัยดี ซึ่งเธอได้รับการถ่ายเลือดระหว่างรับการทำคลอดด้วยวิธีผ่าท้อง จากการตัดสินใจของแพทย์เนื่องจากเห็นว่าการตั้งครรภ์ของเธอกระทบต่อไต และมีขึ้นในขณะที่เธอตั้งครรภ์ได้ 8 เดือนเต็ม ด้านนายแพทย์ อีมัด ดาร์วิช ผู้ทำการผ่าตัด ระบุว่า การคลอดแฝด 7 ครั้งนี้เป็นการเหตุการณ์คลอดเด็กที่แปลกและหายาก ซึ่งเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อนเลยในรอบ 33 ปีที่ผ่านมา


_____________________________________________________________



หนังสือพิมพ์เดลี่เมล์ ของอังกฤษ รายงานว่า นางวาเลอรี และ นายเท็ด ร็อก สามีภรรยา ชาวอเมริกัน ในเมืองชิคาโก เปิดตัวเจ้าแมวเพศผู้ ที่มีใบหูข้างละ 2 หู


โดยหูที่เกินออกมามีลักษณะเรียวแหลม เหมือนตัวละคร "โยด้า" ในหนังสตาร์ วอร์ มันจึงได้ชื่อว่า โยด้า มีนิสัยคล้ายตัวละครโยด้า คือช่างสังเกต ร้องเหมียวๆ เสียงเบาไม่กลัวอะไร เข้าสังคมได้ดี สามีภรรยาได้แมว 4 ใบหู มาเลี้ยงเมื่อ 2 ปีก่อน ตอนไปเที่ยวบาร์แห่งหนึ่งใกล้บ้าน เจ้าของบาร์จับลูกแมวใส่กรงตั้งไว้เพื่อหาคนเลี้ยงดูมันอยู่ ขณะที่เหล่านักดื่มต่างมาเพ่งดูลูกแมวตัวนี้อย่างสนใจ เมื่อสามีภรรยารับมาเลี้ยง มันประจบเจ้านายใหม่ทันที ด้วยการปีนขึ้นไปที่คอและหลับอยู่ตรงไหล่ของนายเท็ด ต่อมา เมื่อโยด้าอายุ 2 เดือน นางวาเลอรีพาไปหาหมอ สัตวแพทย์ประหลาดใจมาก บอกว่าไม่เคยเจออย่างนี้มาก่อน จากนั้นมาครอบครัวจึงฝังชิพไว้เผื่อมันหลง หรือถูกลักพา

_____________________________________________________________


แปลกดีนะ โรงแรมผู้ดีมาแปลก ใช้คนอุ่นเตียง


ไชน่าเดลี่รายงานว่า เมื่อ 23 มกราคม ฮอลิเดย์ อินน์ เครือโรงแรมชื่อดังของโลก เตรียมทดลองเปิดบริการใหม่ใช้มนุษย์สร้างไออุ่นให้เตียงนอนแขก บริการนี้มีขึ้นเพื่อต่อสู้กับอากาศที่หนาวเย็นในอังกฤษ เจน เบดแนลล์ โฆษกฮอลิเดย์ อินน์ กล่าวว่า บริการนี้จะเริ่มที่โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ 2 แห่งในกรุงลอนดอน และอีกแห่งที่เมืองแมนเชสเตอร์ พนักงานจะทำตัวเหมือนกระติกน้ำร้อน สวมชุดขนสัตว์แต่งตัวรัดกุมขึ้นไปนอนบนเตียง ใช้เทอร์โมมิเตอร์คอยวัดอุณหภูมิและจะออกจากเตียงก่อนที่เจ้าของห้องจะขึ้นเตียง คริส อิดซิคอฟสกี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนในเอดินเบิร์ก กล่าวว่า เตียงที่มีอุณหภูมิระหว่าง 20-24 องศา ช่วยให้หลับสบาย

_____________________________________________________________


ลูกหมูประหลาด คลอดออกมามี 8 ขา


ชาวบ้านใน จ.พิจิตร แตกตื่นลูกหมูประหลาด คลอดออกมามี 8 ขา อยู่ได้ 10 นาทีก็ตาย เจ้าของเอาใส่ถาดไว้ ชาวบ้านแห่จุดธูป-ปิดทอง ตีเป็นเลขเด็ด...เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 ม.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่ามีชาวบ้านแห่กันไปขอหวยและปิดทองลูกหมูประหลาดเพศผู้ ของนางกิมลี้ สอนสุด อายุ 58 ปี บ้านเลขที่ 94/1 ม.4 ต.ป่ามะคาบ อ.เมือง จ.พิจิตร ที่เกิดมามีหัวเดียว ลำตัวติดกันและมีขา 8 ขา เมื่อเดินทางไปที่บ้านเลขที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นบ้านสองชั้น พบว่า มีชาวบ้านจำนวนมาก แห่ดูลูกหมูเพศผู้ ซึ่งตายแล้ว พบว่ามีหัวเดียว ลำตัวติดกันและมีขา 8 ขา เจ้าของนำมาวางไว้บนถาด มีชาวบ้านนำธูปมาจุด และปิดทอง บางคนก็จับดูเล็บและขาของลุกหมูตัวดังกล่าว และตีเป็นเลขเด็ดต่าง ๆ นานา เช่น 028 บ้าง และ 281 บ้างนางกิมลี้ เจ้าของลูกหมู กล่าวว่า มีอาชีพเลี้ยงหมูมานาน 10 ปี ต่อมาเมื่อวันที่ 27 ม.ค.ที่ผ่านมา แม่หมูท้องแก่ตัวหนึ่งคลอดลูก ตนได้ช่วยทำคลอดหมูด้วยตนเอง ปรากฏว่าแม่หมู คลอดลูกมา 9 ตัว แต่ตัวที่ 3 ออกมาเป็นตัวผู้มีหัวเดียว ลำตัวติดกัน มี 8 ขา ออกมาได้ประมาณ 10 นาทีก็ตาย เมื่อเพื่อนบ้านทราบข่าว ก็มาดูและบอกต่อๆกัน ทำให้มีชาวบ้านที่รู้ข่าวต่างก็มาขอหวยและปิดทอง แม้กระทั่งเจ้ามือหวยในหมูบ้านรู้ข่าวก็ยังมาดูด้วย.

_____________________________________________________________


ปูแปลก ปูสตรอว์เบอร์รี่ Strawberry Crab คล้ายกับ สตรอว์เบอร์รี่ มาก
ศาสตราจารย์โฮ ปิงโฮ นักชีววิทยาศาสตร์ทางทะเล มหาวิทยาลัยสมุทรศาสตร์แห่งชาติไต้หวัน เปิดเผยว่า ค้นพบปูสายพันธุ์ใหม่ มีลักษณะกายภาพและสีสันภายนอกคล้ายผลสตรอว์เบอร์รี่ จึงตั้งชื่อว่า "ปูสตรอว์เบอร์รี่" หรือ Strawberry Crab" ศ.โฮ ระบุว่า พบปูสตรอว์เบอร์รี่เพศเมีย 2 ตัวขณะเข้าไปสำรวจพื้นที่ชายฝั่งอุทยานแห่งชาติเกนติ้ง ซึ่งมีความหลากหลายทางชีวภาพมาก แต่หลังจากนั้นไม่นาน ปูทั้งสองตัวก็ตาย คาดว่าเพราะได้รับสารพิษที่ปล่อยออกมาจากเรือขนส่ง ซึ่งเกยตื้นอยู่ในพื้นที่"ปูสตรอว์เบอร์รี่ มีกระดองสีแดงแต้มด้วยจุดสีขาว คล้ายๆ กับปูที่พบแถบฮาวาย โพลีนีเซีย และมอริเชียส" โฮ กล่าว

เพลง






เนื้อเพลง come back to me

The rain falls on my windows
And the coldness runs through my soul
And the rain falls (rain falls)
Oh, the rain falls (rain falls)
I don't want to be alone

I wish that I could photoshop all
Our bad memories 'cause the
Flashbacks (flashbacks)
Oh, the flashbacks (flashbacks)
Won't leave me alone

If you come back to me
I'll be all that you need
Baby, come back to me
Let me make up for what happened in the past

(come back)
Baby, come back to me (come back)
I'll be everything you need (come back)
Baby, come back to me (come back)
For you're (one in a million [come back])

Baby, come back to me (come back)
I'll be everything you need (come back)
Baby, come back to me (come back)
You're one in a million (one in a million)

Lower East Side of Manhattan
She goes shopping for new clothes
And she buys this (buy this)
And she buys that (buys that)
Just leave her alone

I wish that he would listen to her
Side of the story
It isn't that bad (that bad)
It isn't that bad (that bad)
And she's wiser for it now

I admit I cheated (admit I cheated)
Don't know why I did it (why I did it)
But I do regret it (do regret it)
Nothing I can do or say can change the past

(come back)
Baby, come back to me (come back)
I'll be everything you need (come back)
Baby, come back to me (come back)
For you're (one in a million [come back])

Baby, come back to me (come back)
I'll be everything you need (come back)
Baby come back to me (come back)
You're one in a million (one in a million)

Everything I ever did
Heaven knows I'm sorry, babe
I was too young to see
You were always there for me
And my curiosity
Got the better of me
Baby, take it easy on me
Anything from A to Z
Call me what you want to, babe
I open my heart to thee
You are my priority
Can't you see you punished me
More than enough already
Baby, take it easy on me

Baby, take it easy on me
Baby, come back to me
Baby, come back to me

(come back)
Baby, come back to me (come back)
I'll be everything you need (come back)
Baby, come back to me (come back)
For you're (one in a million [come back])

Baby, come back to me (come back)
I'll be everything you need (come back)
Baby, come back to me (come back)
You're one in a million (one in a million)

(come back)
Baby, come back to me (come back)
I'll be everything you need (come back)
Baby, come back to me (come back)
For you're (one in a million [come back])

Baby, come back to me (come back)
I'll be everything you need (come back)
Baby, come back to me (come back)
You're one in a million (one in a million)

La la la la
La la la la la la
La la la la la la
La la la

แปลไทย Come Back to Me

สายฝนโปรยผ่านหน้าต่าง
และความหนาวเย็น พัดผ่านตัวฉัน
สายฝนโปรยปราย,โอ้สายฝนพรำ
ฉันไม่อยากอยู่ตัวคนเดียว

ฉันหวังที่จะมีความสามารถเหมือนโฟโต้ช็อป
ความทรงจำอันเลวร้ายทั้งหมดของเรา
เพราะเรื่องในอดีต,โอ้เรื่องในอดีต
จะไม่ทิ้งให้ฉันอยู่ลำพัง

หากเธอกลับมาหาฉัน
ฉันจะเป็นทุกอย่างตามที่เธอต้องการ
ที่รัก กลับมาหาฉันเถอะ
มาช่วยฉันชดเชย สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต

*ที่รัก กลับมาหาฉันที
ฉันจะเป็นทุกสิ่งตามที่เธออยากให้เป็น
ที่รัก กลับมาหาฉันเถอะนะ
ที่รัก เธอคือหนึ่งในล้าน
ที่รัก กลับมาหาฉันเถอะ
ฉันจะเป็นทุกสิ่งตามที่เธออยากให้เป็น
ที่รัก กลับมาหาฉันเถอะนะ
ที่รัก เธอคือหนึ่งในล้าน (หนึ่งเดียวเท่านั้น)

ทางใต้ของมอนฮัทตัน
เธอไปห้างเพื่อซื้อชุดใหม่
และซื้ออันนั้น อันนี้
ปล่อยเธออยู่คนเดียวไปเถอะ
ฉันหวังว่าเขาจะได้ฟังจากแง่มุมในเรื่องของเธอ
มันเลวร้ายใช่ไหม,ใช่หรือเปล่า
และตอนนี้เธอเข้าใจมันแล้ว

ฉันยอมรับว่าฉันเคยโกหก
ก็ไม่รู้ว่าทำไมทำอย่างนั้น
แต่ฉันเสียดายที่ทำมัน
ไม่มีสิ่งใดที่ฉันสามารถกระทำหรือบอกว่าสามารถเปลี่ยนอดีตได้

Repeat *

ทุกสิ่งที่ฉันเคยทำ
สวรรค์รู้ ฉันขอโทษนะที่รัก
ฉันยังเด็กเกินไป ที่จะเข้าใจ
เธอเคยเป็นสิ่งที่ฉันมีมาเสมอ
และความอยากรู้ของฉัน ทำให้ฉันดีกว่าเดิม
ที่รัก ใจเย็น เถอะนะ

อักษร เอ ถึง ซี
บอกฉัน ตัวไหนที่เธออยากได้
ฉันเปิดหัวใจให้เธอ
เธอคือสิ่งสำคัญของฉัน
เธอไม่รู้เหรอ ว่าเธอได้ลงโทษฉันไปแล้ว
มากซะจนมันเพียงพอแล้ว
ที่รัก ใจเย็น เถอะนะ

Repeat *,*


สถานที่ท่องเที่ยว

ปาย


อำเภอปาย เป็นอำเภอขนาดเล็กทางตอนเหนือของจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นที่รู้จักกันดีในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่เดินทางมาเที่ยวชมความงามตามธรรมชาติ


ที่ตั้งและอาณาเขต

อำเภอปายตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของจังหวัด มีอาณาเขตติดต่อกับเขตการปกครองข้างเคียง ดังนี้ทิศเหนือ ติดต่อกับเมืองปั่น จังหวัดตองยี รัฐฉาน (ประเทศพม่า) ทิศตะวันออก ติดต่อกับอำเภอเวียงแหง อำเภอเชียงดาว และอำเภอแม่แตง (จังหวัดเชียงใหม่) ทิศใต้ ติดต่อกับอำเภอสะเมิงและอำเภอกัลยาณิวัฒนา (จังหวัดเชียงใหม่) ทิศตะวันตก ติดต่อกับอำเภอเมืองแม่ฮ่องสอนและอำเภอปางมะผ้า การปกครองส่วนภูมิภาคอำเภอปายแบ่งเขตการปกครองย่อยออกเป็น 7 ตำบล 66 หมู่บ้าน ได้แก่1. เวียงใต้ (Wiang Tai) 8 หมู่บ้าน 2. เวียงเหนือ (Wiang Nuea) 10 หมู่บ้าน 3. แม่นาเติง (Mae Na Toeng) 14 หมู่บ้าน 4. แม่ฮี้ (Mae Hi) 6 หมู่บ้าน 5. ทุ่งยาว (Thung Yao) 12 หมู่บ้าน 6. เมืองแปง (Mueang Paeng) 9 หมู่บ้าน 7. โป่งสา (Pong Sa) 7 หมู่บ้าน

การปกครอง
ส่วนท้องถิ่นท้องที่อำเภอปายประกอบด้วยองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 8 แห่ง ได้แก่เทศบาลตำบลปาย ครอบคลุมพื้นที่บางส่วนของตำบลเวียงใต้ องค์การบริหารส่วนตำบลเวียงใต้ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเวียงใต้ (นอกเขตเทศบาลตำบลปาย) องค์การบริหารส่วนตำบลเวียงเหนือ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเวียงเหนือทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลแม่นาเติง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่นาเติงทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลแม่ฮี้ ครอบคลุมพื้นที่ตำบลแม่ฮี้ทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งยาว ครอบคลุมพื้นที่ตำบลทุ่งยาวทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลเมืองแปง ครอบคลุมพื้นที่ตำบลเมืองแปงทั้งตำบล องค์การบริหารส่วนตำบลโป่งสา ครอบคลุมพื้นที่ตำบลโป่งสาทั้งตำบล ภูมิศาสตร์เป็นที่ราบแอ่งกระทะ ล้อมรอบด้วยภูเขา มีแม่น้ำหลายสาย คือ น้ำปาย น้ำของ และน้ำแม่ปิงน้อย อีกทั้งมีลำห้วยอีกหลายสาย คือ ห้วยแม่เมือง ห้วยแม่เย็น และห้วยแม่ฮี้

ประวัติศาสตร์
อำเภอปายเป็นเมืองเก่าแก่ ประชากรที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาแต่เดิมคือชาวพ่ายหรือไปร ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่ใช้ภาษาตระกูลออสโตร-เอเชียติก สาขาว้า-เรียง ดังมีร่องรอยหลักฐานซากวิหารและเจดีย์กระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนภูเขาสูง ที่ดอนเชิงเขา บริเวณพื้นราบลุ่มน้ำปาย บางแห่งก่อสร้างด้วยหิน เช่น ในผืนป่าบริเวณใกล้น้ำตกเอิกเกอเต่อ ซึ่งเป็นต้นน้ำแม่ปิงน้อย บางแห่งมีการขุดคูเป็นร่องลึกบนภูเขาสูงชัน มีเจดีย์บนยอดเขามีหลักฐานว่าเจ้าเมืองคนแรกคือ ขุนส่างปาย ในสมัยพระเจ้ามโหตรประเทศ พระราชาธิบดีเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ ส่งเจ้าแก้วเมืองออกสำรวจชายแดน ได้พบว่าภูมิประเทศน่าสนใจ จึงแนะนำให้ขุนส่างปายย้ายเมืองมาตั้งฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปายเพราะเป็นที่ราบกว้างขวาง ผู้คนจึงเรียกเมืองใหม่ว่า "เวียงใต้" ส่วนเมืองเก่าเรียกว่า "เวียงเหนือ"

ภูมิหลังทางประวัติศาสตร์
เมืองปายเป็นเมืองที่มีคนตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ในสมัยประวัติศาสตร์บริเวณที่ตั้งเมืองปายเป็นเมืองสำคัญของล้านนาในสมัยราชวงศ์มังรายซึ่งมีเมืองเชียงใหม่เป็นศูนย์กลาง ต่อมาเมืองปายได้ร้างไปพร้อมกับเมืองเชียงใหม่ ประมาณปี พ.ศ. 2318-2338 เมืองปายได้ฟื้นฟูเป็นหมู่บ้านและพัฒนาเป็นอำเภอปาย โดยมีผู้คนหลายกลุ่มชาติพันธุ์อพยพเข้ามาอาศัยอยู่ ได้แก่ คนไทยวน (คนเมือง) ชาวไทใหญ่ ชาวปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) และชาวไทยภูเขาเผ่าต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากเมืองปายตั้งอยู่ในบริเวณที่อุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ำไหลผ่านหลายสาย เหมาะสำหรับการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปัจจุบันเมืองปายเป็นเมืองชุมทางที่สำคัญเมืองหนึ่งบนเส้นทางระหว่างเชียงใหม่กับแม่ฮ่องสอน

สมัยก่อนประวัติศาสตร์
อำเภอปายมีร่องรอยการอาศัยอยู่ของมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ และมีชุมชนโบราณที่ปรากฏชื่อในตำนานคัมภีร์ใบลานหลายเมือง และมีประวัติสืบต่อกันมานับร้อยปี ประกอบกับมีหลักฐานโบราณคดีปรากฏอยู่ในชุมชนโบราณดังกล่าวด้วย จากการศึกษาของพระครูปลัดกวีวัตน์ธนจรรย์ สุระมณี วัดเจดีย์หลวง อำเภอเมืองเชียงใหม่ มีรายงานการสำรวจว่าในเขตเมืองน้อย อำเภอปาย มีหลักฐานโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ดังนี้
1.ถ้ำผีแมน บ้านห้วยหก ตำบลเวียงเหนือ อยู่ห่างจากบ้านห้วยหกไปทางทิศตะวันตกราว 1,500 เมตร พบซากกระดูกและระแทะคล้ายรางไม้ให้อาหารสัตว์หลงเหลืออยู่ บางส่วนถูกชาวบ้านเผาไปเกือบหมดแล้ว ถ้ำผีแมนซึ่งเป็นที่อยู่ของมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์นี้มีอยู่หลายแห่งในเขตจังหวัดแม่ฮ่องสอน
2.ถ้ำป่าคาน้ำฮู ตำบลปางหมู อำเภอเมืองแม่ฮ่องสอน
3.ถ้ำน้ำลอด อำเภอปางมะผ้า พบหลักฐานของใช้ของคนถ้ำในยุคนั้นคือ กำไลแขนทำด้วยโลหะ หม้อดินลายเชือกทาบ ขวานหินขุด ระแทะไม้ ฯลฯ
4.ถ้ำดอยปุ๊กตั้ง อยู่ทางทิศใต้ของบ้านห้วยเฮี้ย ตำบลเวียงเหนือ ใช้เวลาเดินทางด้วยเท้าจากหมู่บ้านประมาณ 1 ชั่วโมง พบเครื่องใช้ของมนุษย์ถ้ำมีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่พบในถ้ำผีแมนแห่งอื่น ๆ

ชุมชนโบราณเมืองน้อย
ชุมชนโบราณเมืองน้อยเป็นชุมชนที่พบหลักฐานทางด้านโบราณคดี หลักฐานตำนาน และศิลาจารึกที่สะท้อนให้เห็นว่าเมืองน้อยเป็นเมืองสำคัญในสมัยประวัติศาสตร์ราชวงศ์มังราย ตั้งอยู่ในเขตตำบลเวียงเหนือ ตำแหน่งละติจูดที่ 19 องศา 30 ลิปดา 58 พิลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ 98 องศา 30 ลิปดา 50 พิลิปดาตะวันออก ระยะทางประมาณ 27 กิโลเมตร จากอำเภอปายไปทางทิศเหนือ เมื่อสองร้อยปีเศษมานี้ เมืองน้อยมีสภาพเป็นเมืองร้าง ปัจจุบันได้มีชนเผ่าปกาเกอะญอ (กะเหรี่ยง) เข้าไปจับจองอาศัยตั้งบ้านเรือนที่บ้านเมืองน้อย โดยมีชื่อใหม่หลายหมู่บ้าน คือ บ้านหัวฝาย บ้านห้วยงู บ้ายห้วยเฮี้ย บ้านห้วยหก บ้านกิ่วหน่อ และบ้านมะเขือคัน

เมืองน้อย:
ชุมชนโบราณสมัยประวัติศาสตร์ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวเมืองน้อยว่า ในรัชกาลของพระเจ้าติโลกราช (พระญาติโลกราชะ) ปกครองเชียงใหม่ พ.ศ. 1984-2030 พระองค์มีโอรสชื่อท้าวบุญเรืองหรือศรีบุญเรืองครองเมืองเชียงราย ต่อมาถูกแม่ท้าวหอมุกกล่าวโทษ จึงให้ท้าวบุญเรืองไปครองน้อย ในที่สุดก็ถูกฆ่าตาย[1] เมื่อสิ้นสมัยพระเจ้าติโลกราชแล้ว โอรสของท้าวบุญเรือง ชื่อพญายอดเชียงราย (พระญายอดเชียงราย) ได้เสวยราชย์เป็นกษัตริย์เชียงใหม่ ปกครองได้ไม่นานถูกกล่าวหาว่า พระองค์ราชาภิเษกวันจันทร์ ถือว่าเป็นกาลกิณีแก่บ้านเมือง ไม่ประพฤติอยู่ในขนบธรรมเนียมของท้าวพระญา ไม่ประพฤติอยู่ในทศพิธราชธรรม และยังมีใจฝักใฝ่ไมตรีกับฮ่อ เสนาอำมาตย์จึงได้ล้มราชบัลลังก์และได้อัญเชิญให้ไปครองเมืองน้อย ในปี พ.ศ. 2038 พญายอดเชียงรายประทับอยู่เมืองน้อยได้ 10 ปี ก็เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2048 เมื่อพระชนมายุได้ 50 พรรษา พญาเมืองแก้ว (กษัตริย์เมืองเชียงใหม่และราชโอรสของพญายอดเชียงราย) ได้เสด็จมาถวายพระเพลิงพระศพของพญายอดเชียงรายที่เมืองน้อย และสร้างอุโบสถครอบ[2]ครั้นพญาเมืองแก้วเสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. 2068 เสนาอำมาตย์ได้อัญเชิญพระอนุชาจากเมืองน้อยให้มาครองราชย์เชียงใหม่และราชาภิเษกเป็นพระเมืองเกษเกล้า (พระญาเมืองเกส) ในปี พ.ศ. 2069 พระองค์ครองราชย์จนถึง พ.ศ. 2081 (พระเมืองเกษเกล้าครองราชย์เมืองเชียงใหม่ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2068-2081 ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2086-2088) เสนาอำมาตย์ไม่ชอบใจได้ปลดพระองค์ออกจากราชบัลลังก์ และอัญเชิญท้าวซายคำราชโอรสให้ครองราชย์แทนในปี พ.ศ. 2081 ท้าวซายคำประพฤติตนไม่อยู่ในทศพิธราชธรรม เสนาอำมาตย์ได้ลอบปลงพระชนม์ในปี พ.ศ. 2086 และได้อัญเชิญพระเมืองเกษเกล้าจากเมืองน้อยมาครองราชย์ในเมืองเชียงใหม่เป็นครั้งที่ 2[3]บ้านเมืองน้อยมีโบราณสถานขนาดใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกว่า "วัดเจดีย์หลวง" ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 4 ไร่ มีแนวกำแพงกำหนดเขตพุทธาวาสขนาด 80 x 100 x 1 เมตร ขนาดชุกชีวิหาร ฐานชุกชีอุโบสถขนาด 4 x 8.50 เมตร (สันนิษฐานว่าเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระบรมศพของพญายอดเชียงราย) ซุ้มประตูโขงด้านทิศตะวันออก เจดีย์ขนาด 11 x 11 x 17 เป็นเจดีย์แบบเชิงช้อนย่อเหลี่ยม บางส่วนยังมีลวดลายการก่ออิฐทำมุม เจดีย์ถูกสร้างขึ้นจากอิทธิพลของศิลปะเชียงใหม่ในราวพุทธศตวรรษที่ 20-21 เจดีย์ถูกขุดค้นหาสมบัติลักษณะแบบผ่าอกไก่จากยอดถึงฐานต่ำสุด มีหลุมลึกประมาณ 1 เมตร ทำให้มองเห็นฐานรากของการก่อสร้างเจดีย์ที่ใช้ก้อนหินธรรมชาติขนาดใหญ่วางซ้อนกันเป็นฐานราก ก้อนอิฐที่ใช้ก่อสร้างมีขนาด 6 x 11 นิ้ว และในบริเวณวัดเจดีย์หลวงยังพบจารึกบนแผ่นอิฐ 2 ชิ้นจารึกหลักแรกพบในบริเวณด้านเหนือของโบราณสถาน จารึกด้วยอักษรธรรมล้านนา ภาษาไทยวน จำนวน 3 บรรทัด บรรทัดที่ 2-3 จารึกกลับหัว จากบรรทัดที่ 1 ความว่า "(1) เชแผง (2) เนอ เหย เหย (3) ฅนบ่หลายแล แล แล" ความในจารึกชิ้นนี้กล่าวถึงนายเชแผง ผู้เป็นหนึ่งในผู้ปั้นอิฐในการก่อสร้างศาสนสถานแห่งนี้ รำลึกถึงคนจำนวนไม่มากนักในการสร้างศาสนสถานแห่งนี้หรือในเมืองนี้จารึกหลักที่สองพบก่อร่วมกับอิฐก้อนอื่น ๆ ในบริเวณแนวกำแพงด้านใต้ของโบราณสถาน จารึกด้วยอักษรฝักขาม ภาษาไทยวน จำนวน 1 บรรทัด ส่วนครึ่งแรกหายไป ส่วนครึ่งหลังอ่านได้ใจความว่า "สิบกา (บ)" จารึกชิ้นนี้บอกผู้ปั้นว่าสิบกาบ คำว่า "สิบ" อาจหมายถึงตำแหน่งขุนนางล้านนาสมัยโบราณ เรียกว่า "นายสิบ" หรือเนื่องจากอิฐส่วนหน้าที่หักหายไปบริเวณกี่งกลางของก้อนอิฐนั้น คำว่า "สิบกา(บ)" อาจสันนิษฐานได้ว่า ข้อความเต็มด้านหน้าที่หายไปเป็น "(ห้า) สิบกาบ" หรือขุนนางระดับนายห้าสิบก็อาจเป็นได้[4]วิวรรณ์ แสงจันทร์ กล่าวว่า จากหลักฐานโบราณคดี ซากวัดร้างต่าง ๆ จำนวน 30 แห่งในเมืองน้อย รวมทั้งวัดเจดีย์หลวงและข้อความที่พบสะท้อนให้เห็นว่า ชุมชนที่นี่เป็นเมืองใหญ่ในอดีตมีฐานะทางเศรษฐกิจดีพอที่จะสร้างศาสนสถานขนาดใหญ่จำนวนมากได้

ชุมชนโบราณบ้านเวียงเหนือ
นอกจากเมืองน้อยแล้ว เมืองปายยังพบชุมชนโบราณที่บ้านเวียงเหนือ ตำบลเวียงเหนือ ตั้งอยู่ในตำแหน่งละติจูด 19 องศา 22 ลิปดา 34 พิลิปดาเหนือ ลองจิจูด 98 องศา 27 ลิปดา 17 พิลิปดาตะวันออกเมืองปายมีหลักฐานตำนานกล่าวถึงประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ในสมัยพญาแสนภู (พระญาแสนพู) กษัตริย์เชียงใหม่ (พ.ศ. 1868-1877) สร้างเมืองเชียงแสน พ.ศ. 1871 ได้กำหนดให้เมืองปายเป็นเมืองขึ้นของพันนาทับป้องของเมืองเชียงแสนในสมัยนั้น (พงศาวดารโยนก หน้าตำนานเชียงแสนว่า เมืองจวาดน้อย/จวาดน้อย/สันนิษฐานว่าเป็นคำเดียวกับคำว่าชวาดน้อย)วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2028 ปีมะเส็ง สัปตศก (วันศุกร์ เดือน 8 ขึ้น 1 ค่ำ จุลศักราช 847 ปีดับใส้) เจ้าเถรสีลสังยมะให้หล่อพระพุทธรูปเวลารับประทานอาหารเช้า (ยามงาย)

พ.ศ. 2032 มหาเทวี (พระมารดาพญายอดเชียงราย) พระราชทานที่ถวายพระมหาสามีสัทธัมมราชรัตนะ ก่อสร้างมหาเจดีย์ มหาวิหาร ผูกพัทธสีมาอุโบสถวัดศรีเกิด (ปัจจุบันชาวบ้านเรียกวัดหนองบัว (ร้าง) บ้านแม่ฮี้ ตำบลแม่ฮี้) พ.ศ. 2033 มีการถวายข้าทาสอุปัฏฐากพระมหาสามีสัทธัมมราชรัตนะ อุโบสถ มหาวิหาร มหาเจดีย์ พระพุทธรูป ห้ามไม่ให้ผู้ใดนำข้าทาสเหล่านี้ไปทำงานอื่นหากยังเคารพนับถือพญายอดเชียงรายอยู่ หากฝ่าฝืนขอให้ตกนรกอเวจี

พ.ศ. 2044 ปีระกา ตรีศก เจ้าหมื่นพายสรีธัม(ม์)จินดา หล่อพระพุทธรูปหนักสี่หมื่นห้าพันทอง เดือนเจ็ด ไว้ในอุโบสถวัดดอนมูน เมืองพายแล (เมืองพาย/อำเภอปาย) (ปัจจุบันพระพุทธรูปนี้เก็บรักษาไว้ ณ วัดหมอแปง ตำบลแม่นาเติง ดร.ฮันส์ เพนธ์ คลังข้อมูลจารึกล้านนา สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ อ่านฐานพระพุทธรูปวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2549 ความว่า "ในปีร้วงเร้า สักราชได้ ๘๖๓ ตัว เจ้าหมื่นพายสรีธัมจินดา ส้างรูปพระพุทธะเป็นเจ้าตนนี้ สี่หมื่นห้าพันทอง ในเดือนเจ็ด ไว้ในอุโบสถวัดดอนมูน เมืองพายแล" (ดร.ฮันส์ เพนธ์กล่าวว่า "หมื่น" เป็นตำแหน่งเจ้าเมืองพาย ตำแหน่งใหญ่เทียบเท่าเมืองเชียงแสน เมืองลำปาง และ 1 ทอง เท่ากับ 1.1 กรัม)

พ.ศ. 2124 ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่กล่าวว่า พญาลำพูนมาครองเมืองปาย (พลาย)

พ.ศ. 2283 ปรากฏชื่อวัดป่าบุก ตั้งอยู่ทิศใต้ของเมืองปาย (พลาย) ช้างตัวผู้ ดังความว่า "วัดป่าบุก ใต้เมืองพายช้างพู้" (คัมภีร์ ธัมมปาทะ (ธรรมบท) ปัจจุบันเก็บไว้ที่วัดดวงดี อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่

พ.ศ. 2330 เมืองปายรวมตัวกับเมืองพะเยา เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองปุ และเมืองสาดขับไล่พม่า แต่เมืองพะเยาทำการไม่สำเร็จ

พ.ศ. 2412 ขณะที่พระเจ้ากาวิโลรสสุริยวงศ์ดำรงตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่ (พ.ศ. 2399-2413) ลงไปถวายบังคมกราบทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ กรุงเทพมหานครว่า ฟ้าโกหล่านเมืองหมอกใหม่ ยกกองทัพมาตีเมืองปายซึ่งสมัยนั้นมีฐานะเมืองขึ้นของเชียงใหม่ เจ้าราชภาคีไนย นายบุญทวงศ์ นายน้อยมหาอินท์รักษาการเมืองเชียงใหม่ ทำหนังสือถึงเจ้าเมืองลำปางและเมืองลำพูนให้มาช่วยเมืองปาย หลังจากนั้นเจ้านายและกองทัพจากสามเมือง ยกกำลังมาช่วยเมืองเชียงใหม่รบกับกองทัพของฟ้าโกหล่าน โดยมีนายบุญทวงศ์ นายน้อยมหาอินท์คุมกำลัง 1,000 คนจากเมืองลำปาง มีนายน้อยพิมพิสาร นายหนายไชยวงศ์คุมกำลัง 1,000 คนจากเมืองลำพูน มีนายอินทวิไชย นายน้อยมหายศคุมกำลัง 500 คน แต่ไม่สามารถป้องกันเมืองปายได้ กองทัพฟ้าโกหล่านจุดไฟเผาบ้านเรือนในเมืองปาย กวาดต้อนผู้คนและครอบครัวไปอยู่เมืองหมอกใหม่ กองทัพทั้งสามเมืองจึงได้ติดตามไปถึงฝั่งแม่น้ำสาละวิน แต่ตามไม่ทันจึงได้เดินทางกลับ

พ.ศ. 2416 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า ตั้งแต่เมืองปายถูกฟ้าโกหล่านตีแตก จุดไฟเผาบ้านเมือง กวาดต้อนผู้คนไปเมืองหมอกใหม่แล้ว เมืองปายมีสภาพเป็นร้างบางส่วน ไม่มีผู้รักษาเมือง ทั้งยังถูกกองทัพเงี้ยวและลื้อกวาดต้อนครอบครัวไปอยู่เป็นประจำ จึงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งพระยาชัยสงคราม (หนานธนันไชย บุตรราชวงศ์มหายศ) เป็นพระยาเกษตรรัตนอาณาจักรไปปกครองเมืองปาย ให้ยกเอาคนจากเมืองเชียงใหม่ไปตั้งเมืองปาย ให้เป็นภูมิลำเนาบ้านเรือนเหมือนเดิม เพื่อจะได้ป้องกันรักษาด่านเมืองเชียงใหม่[9]

พ.ศ. 2438 พระยาดำรงราชสิมา ผู้ว่าราชการเมืองปาย ถูกพวกแสนธานินทร์พิทักษ เจ้าเมืองแหงปล้น แล้วแสนธานินทร์พิทักษประกาศเกลี้ยกล่อมคนเมืองปั่น เมืองนาย เมืองเชียงตอง และเมืองพุมารบเมืองปาย โดยจะเก็บริบเอาทรัพย์สิ่งของให้หมด พระยาทรงสุรเดชพร้อมด้วยเจ้าเมืองเชียงใหม่ได้ประชุมเจ้านายหกตำแหน่งมอบหมายให้เจ้าอุตรโกศลออกไปปราบปราม[10]วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2449 ส่างนันติ คนในบังคับอังกฤษ ใช้ดาบฟันส่างสุนันตาและเนอ่อง คนในบังคับสยามตาย ณ ตำบลกิ่วคอหมา แขวงเมืองปาย และนำทรัพย์สินไปมูลค่าประมาณ 1,000 บาท ศาลต่างประเทศ เมืองนครเชียงใหม่ได้ตัดสินประหารชีวิต (คำพิพากษาที่ 25/125 ศาลต่างประเทศ เมืองนครเชียงใหม่ วันที่ 24 สิงหาคม รัตนโกสินทร์ศก 125 อ้างในศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน 2535/คำพิพากษานี้เป็นคำพิพากษาในสมัยที่สยาม (ไทย) ตกอยู่ภายใต้เสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตตามสนธิสัญญาเบาว์ริง พ.ศ. 2398) และจำเลยได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์กรุงเทพ ได้ยกฟ้องอุทธรณ์ของจำเลย และให้ประหารชีวิตตามคำพิพากษาศาลล่าง (คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ 20 ปี ค.ศ. 1906 อ้างในศาลจังหวัดแม่ฮ่องสอน พ.ศ. 2536

พ.ศ. 2454 กระทรวงมหาดไทยได้ยกเลิกการปกครองเมือง เปลี่ยนฐานะเมืองปายเป็น อำเภอปาย และได้แต่งตั้งหลวงเจริญเขตเขลางค์นคร (สอน สุขุมมินทร์) เป็นนายอำเภอคนแรกระหว่างปี พ.ศ. 2454-2468

สถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ
น้ำตกหมอแปง
วัดกลาง
วัดพระธาตุศรีวิชัย
วัดน้ำฮู
หมู่บ้านกะเหรี่ยงแม่ปิง
เจดีย์พระธาตุแม่เย็น
โป่งน้ำร้อนท่าปาย
น้ำตกแม่เย็น
กองแลน
น้ำพุร้อนเมืองแปง
ห้วยจอกหลวง
ถนนคนเดิน
ปาย
สะพานข้ามแม่น้ำปาย

การ์ตูน

ชินจังจอมแก่น
ชินจังจอมแก่น (ญี่ปุ่น: クレヨンしんちゃん Kureyon Shinchan ?) (อังกฤษ: Crayon Shin-chan) เป็นการ์ตูนญี่ปุ่น เรื่องและภาพโดยโยชิโตะ อุสึอิ ตีพิมพ์ในประเทศญี่ปุ่นโดยสำนักพิมพ์ Futabasha ในประเทศไทยตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์ และได้รับการสร้างเป็นแอนิเมชัน ในปีพ.ศ. 2535ชินจังจอมแก่น เป็นการ์ตูนแนวตลกขบขันเรื่องหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย ชินจังเป็นการ์ตูนที่มีลายเส้นง่ายๆ เป็นการ์ตูนยอดฮิตทุกประเทศ

เนื้อเรื่อง
เกี่ยวกับชินจัง (โนะฮาร่า ชิโนสึเกะ; Nohara Shinosuke) เด็กอนุบาลวัย 5 ขวบสุดแก่น มีนิสัยคล้ายคลึงกับพ่อ (ฮิโรชิ) เช่น ชอบผู้หญิงหุ่นดีหน้าตาดี และยังชอบอาบน้ำกับพ่อมาก . แม่ของชินจัง (มิซาเอะ) มีนิสัยขี้เหนียวและขี้อ่อนแอ แต่โมโหง่ายและน่ากลัว.ชินจังมีน้องสาวหนึ่งคนชื่อฮิมาวาริ. ครอบครัวของชินจังเลี้ยงหมาหนึ่งตัว ชื่อเจ้าขาว (ชิโร่). เพื่อน ๆ ของชินจังที่พบในเรื่องบ่อย ๆ คือ คาซาม่าคุง, เนเน่จัง, มาซาโอะคุง, และ โบจัง ชินจังมักมีท่าแปลกๆ เช่น ท่ามนุษย์ต่างดาวนู้ดครึ่งก้น ท่าที่เอากางเกงในมาครอบหัว โดยทำเหมือนกับว่ามันเป็นหน้ากาก ชินจังชอบดูการ์ตูนหน้ากากแอ็คชั่น เป็นคนที่ชื่นชอบ และชื่นชมในตัวหน้ากากแอ็คชั่นมาก การละเล่นของชินจังที่โรงเรียนคือ เล่นเป็นยุง เล่นเป็นอึ เล่นซ่อนแอบแบบไม่มีคนหา เล่นแกล้งตายบนหิมะ เล่นพ่อ แม่ ลูก(เมื่อถูกเนเน่จังบังคับ)

ตัวละคร*

ตัวละครหลัก

โนะฮาร่า ชินโนซึเกะ (อายุ 5 ปี) ตัวละครเอกของเรื่อง มีนิสัยเจ้าชู้ แก่แดด กะล่อน ชื่นชอบสาวสวยหุ่นดีคล้ายฮิโรชิ หาเรื่องป่วนได้ทุกเวลา มีปัญหาเรื่องออกเสียงและการใช้ภาษาอย่างผิดหลักไวยากรณ์ กระนั้นก็ยังพูดจาฉะฉาน ใช้คำพูดเกินเด็ก แทงใจดำคน อ่านใจคนเก่งมาก (ดังพบเห็นได้จากการไปห้างสรรพสินค้า ที่มักจะรู้เล่ห์กลของพนักงานขาย) แต่แท้จริงแล้วเป็นคนที่รักครอบครัวและคนรอบข้างอยู่ ที่สำคัญกว่านั้นสิ่งที่ไม่มีใครพูดถึง คือ ความมีน้ำใจของชินจัง มีความเฉลียวฉลาด กล้าหาญ คิดดีทำดี และสุดท้ายเป็นคนเห็นอกเห็นใจผู้อื่นแถมยังชอบช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนด้วย (ความสามารถพิเศษของชินจังคือ มีปฏิกิริยาตอบโต้กับสาวสวยรวดเร็ว ลอกเลียนแบบเก่ง ทำเครื่องแต่งกายเก่ง และเต้นเก่ง)

โนะฮาร่า ฮิมาวาริ (วัยคลาน) น้องสาวของชินโนซึเกะ มีนิสัยคล้ายมิซาเอะ ชื่นชอบเครื่องประดับและดาราหนุ่มหล่อ ชื่อของฮิมาวาริมาจากการเลือกชื่อโดยการใช้เครื่องบินกระดาษ โดยคำว่า ฮิมาวาริ มาจากชื่อห้องเรียนที่ชินโนซึเกะเรียนอยู่ (ฮิมาวาริ แปลว่า ดอกทานตะวัน)

โนะฮาร่า มิซาเอะ (อายุ 29 ปี) แม่ของชินโนซึเกะ ชอบใส่กางเกงในสีใส ขนหน้าแข้งดก ท้องลาย พละกำลังเยอะ ก้นเบอะ ทำให้ถูกชินโนะซึเกะนำไปล้อเสมอ นอกจากนั้นยังมีเรื่องอับอายขายหน้าเพื่อนบ้านจากการเล่นกับชินจังอยู่บ่อยๆ ในการลงโทษชินโนะซึเกะนั้นมีทั้งเบาและหนักเช่น เขกหัว ปั่นหัว(หรือปั่นนรก) หยิกแก้ม หยิกหู แต่ที่หนักที่หนักที่สุดคือ ตีก้น10ทีรวด

โนะฮาร่า ฮิโรชิ (อายุ 35 ปี) พ่อของชินโนซึเกะ มีอาชีพเป็นพนักงานบริษัท แอบเจ้าชู้และชอบกินเบียร์ เลี้ยงดูชินโนซึเกะแบบเพื่อน บางครั้งถูกชินโนะซึเกะแกล้งจนเข้าใจผิดว่านอกใจหลายตอน


เจ้าขาว(ชีโร่) สุนัขที่ถูกทิ้ง ซึ่งชินจังนำมาเลี้ยง แต่มักจะไม่ได้รับการเอาใจใส่จากชินจังเท่าที่ควร มีอยู่ตอนหนึ่ง มิซาเอะขายเจ้าขาวไปแต่ก็มาอยู่กันอีกครั้ง
ซากุราดะ เนเน่ มีชื่อเล่นว่า เนเน่จัง เป็นเด็กสาวในกลุ่มของชินโนซึเกะ มีนิสัยขี้โมโห แต่ซ่อนไว้โดยการทำนิสัยน่ารัก ชอบเล่นพ่อแม่ลูกเป็นชีวิตจิตใจ เนเน่จังจะต่อยตุ๊กตากระต่ายตัวเล็กเป็นการระบายอารมณ์ ซึ่งเลียนแบบมาจากคุณแม่ของเนเน่จังนั่นเอง

โทโอรุ คาซาม่า มีชื่อเล่นว่า คาซาม่าคุง เป็นเด็กที่เกิดมาในครอบครัวที่ยุ่งอยู่กับธุรกิจ จึงต้องอยู่ที่แมนชั่น จึงทำให้คาซาม่าคุง มีนิสัยขี้โอ่ ชอบอวดร่ำอวดรวยในบางครั้ง และยังติดแม่มาก แต่เป็นเด็กเรียนดีของห้อง มักถูกชินโนซึเกะแซวเล่นและคอยปั่นป่วนตลอดเวลา เลยทำให้ไม่กล้าเปิดเผยความชอบส่วนตัวสักเท่าไหร่(เช่นชอบการ์ตูนสาวน้อย

เวทมนตร์ โมเอะ-P) เกรงจะถูกชินโนซึเกะเอาไปล้อ จริง ๆ แล้วเป็นเพื่อนที่สนิทกับชินจังมาก
ซาโต้ มาซาโอะ มีชื่อเล่นว่า มาซาโอะคุง เป็นเด็กผมโล้น มีนิสัยขี้ระแวง ขี้แย อ่อนแอ ถูกหลอกง่ายจึงมักถูกเพื่อนๆลากไปสร้างวีรกรรมเสมอๆ มักถูกเด็กประถมรังแกบ่อยครั้ง

มีฉายาว่า หัวข้าวปั้น หลงรักไอย์จังอย่างโงหัวไม่ขึ้น(แสดงให้เห็นถึงเรตผู้ชม)
โบจัง เป็นเด็กที่พูดน้อยและตัวสูงที่สุดในกลุ่ม ลักษณะเด่นคือ มีน้ำมูกไหลย้อยตลอดเวลาและพูดแค่คำว่า "โบ" มีความลับอยู่ในเรื่องครอบครัว เพราะไม่ปรากฏพ่อแม่โบจังเลย (มีตอนที่กลุ่มชินจังพยายามตามสืบหาพ่อแม่ของโบจัง แต่ไม่สำเร็จ) มีความเก่งด้านศิลปะเชิงนามธรรม ได่รับรางวัลประกวดวาดภาพหลายครั้ง เช่น หัวใจของอีกา

ซึโอโตเมะ ไอย์ มีชื่อเล่นว่า ไอย์จัง เป็นคุณหนูลูกเศรษฐี เป็นทั้งเพื่อนและคู่กัดของเนเน่จัง(แต่ปัจจุบันเป็นเพื่อนสนิทกันแล้ว) ปรากฏตัวในหนังสือการ์ตูนเล่มที่ 16 มักจะชอบพูดจาเกี่ยวกับเรื่องฐานะ ซึ่งทำให้มีปัญหากับเนเน่จังอยู่บ่อยครั้ง หลงรักชินโนะซึเกะมาก แต่เจ้าตัวไม่สนใจ มีความสามารถพิเศษในการจัดงานต่างๆ(โดยใช้บอดี้การ์ด) และทำให้เด็กผู้ชายคนอื่นๆตกหลุมรักได้ (ยกเว้นชินจัง)

ตัวละครรอง
โอฮาร่า นานาโกะ ชินโนซึเกะมักเรียกเธอว่า พี่นานาโกะ เป็นเพื่อนบ้านของชินโนะซึเกะ มีคุณพ่อเป็นนักเขียนนิยายชื่อดัง ซึ่งหวงลูกสาวมาก นานาโกะเป็นคนที่น่ารัก และเป็นคนที่ชินโนะซึเกะแอบชอบด้วย

ครูโยชินาง่า มิโดริ (อิชิซากะ มิโดริ) ครูประจำชั้นห้องฮิมาวาริ มักเหนื่อยหน่ายใจกับพฤติกรรมของชินโนซึเกะ แต่ภูมิใจที่ได้สอนเด็กๆจอมซนพวกนี้ ภายหลังได้แต่งงานกับ อิชิซากะ จุนอิจิ โดยมีพ่อสื่อแม่สื่อคือกลุ่มของชินโนซึเกะ แต่งงานที่โรงเรียนอนุบาล ท่ามกลางสายฝน ปัจจุบันมีลูกสาว ชื่อ โมโมะ

ครูมัตสึซากะ อุเมะ ครูประจำชั้นห้องกุหลาบ มีลักษณะคล้ายสาวสวยไฮโซ ชอบต่อล้อต่อเถียงกับโยชินนาง่า บ่อยครั้ง มีจุดอ่อนเรื่องหาคนรักไม่ได้(แม้ว่าจะมีคนรักอยู่แล้วก็ตาม)และเรื่องการเป็นสาวโสด กำลังคอยหาดูใจกับหมอเกียวดะ โทคุโร่ ซึ่งตอนนี้ไปทำวิจัยขุดซากฟอสซิลไดโนเสาร์อยู่ต่างประเทศ

ครูอาเงโอะ มาซึมิ ครูผู้มี2บุคลิก โดยเมื่อใส่แว่นจะมีท่าทางสงบเสงี่ยม เรียบร้อยและไม่กล้าแสดงออก แต่เมื่อถอดแว่นออกจะเปลี่ยนเป็นคนละคน เก่งทางด้านคอมพิวเตอร์ แอบทำเว็บไดอารี่เป็นของตนเองแต่กลุ้มใจที่ไม่มีใครเข้ามาดูเลยสักคนเนื่องจากไม่กล้าบอกว่าตนเองมีเว็บไซด์

ครูใหญ่ ทาคาคูระ บุนตะ ครูใหญ่แห่งโรงเรียนอนุบาลฟุตาบะ มีหน้าตาคล้ายนักเลงยากูซ่าระดับหัวหน้าแก๊งค์แต่จริงๆแล้วเป็นคนใจดี

คุณนาย ทาคาคูระ ภรรยาของคุณครูใหญ่

เคย์โกะ เป็นเพื่อนสนิทของมิซาเอะ มีสามีอายุน้อยกว่า ซึ่งชินจังมักจะนำเรื่องนี้ไปเล่าเพื่อนบ้านของน้าเคย์โกะ ให้อับอายเป็นประจำ มีลูกชาย 1 คน

ตัวละครอื่นๆ
โนะฮาร่า กิงโนะสึเกะ พ่อของฮิโรชิ คุณปู่ของชินโนซึเกะ หัวล้านหน้าตาคล้ายชินโนซึเกะ เจ้าชู้ กะล่อน ชอบเด็กเอ๊าะ ๆ ไม่รู้จักแก่

โนะฮาร่า ซึรุ แม่ของของฮิโรชิ คุณย่าของชินโนซึเกะ เป็นคนสนุกสนานเช่นเดียวกับกิงโนะสึเกะ ซึ่งคุณปู่ของชินจังมักอยู่ในอำนาจ

โนะฮาร่า เซมาชิ คุณลุงของชินโนซึเกะ เป็นพี่ชายของฮิโรชิ มีนิสัยขี้เหนียวมาก

โคยาม่า โยชิจิ พ่อของมิซาเอะคุณตาของชินโนซึเกะ อดีตนายตำรวจ(ในบิ้กบุคส์เขียนว่าเป็นครูใหญ่) มักไม่ถูกชะตากับกิงโนะซึเกะ จึงหาเรื่องทะเลาะได้ทุกครั้งเมื่อเจอกัน(และมักจะเจอกันโดยบังเอิญเสียทุกครั้ง) มีนิสัยเคร่งขรึม ยึดขนมธรรมเนียม ต่างจากปู่ของชินจัง

โคยาม่า ฮิซาเอะ แม่ของมิซาเอะคุณยายของชินโนซึเกะ เป็นคนใจดี คอยประนีประนอมข้อพิพาทระหว่างของโยชิจิกับกิงโนะซึเกะ

โคยาม่า มาซาเอะ พี่สาวมิซาเอะคุณป้าของชินโนซึเกะ นิสัยขี้เล่น ชอบแกล้งมิซาเอะอยู่เสมอ ชอบใส่ชุดกิโมโน

โคยาม่า มุซาเอะ พี่สาวมิซาเอะคุณน้าของชินโนซึเกะ มีปัญหาทางด้านการเงิน ซึ่งมิซาเอะให้ความช่วยเหลือ จากในหนังสือการ์ตูนตอนหนึ่ง

ซากุระดะ โมเอโกะ คุณแม่ของเนเน่จัง มักไม่พอใจที่ชินโนซึเกะทำลายความสงบสุขในชีวิตของตนและครอบครัว มักระบายอารมณ์โดยการต่อยตุ๊กตากระต่าย จนติดเป็นนิสัยและทำให้เนเน่จังเลียนแบบโมเอโกะในที่สุด

คาวามูระ ยาซึโอะ มีฉายาว่า ชีต้า เป็นเด็กห้องกุหลาบ เป็นนักฟุตบอล เป็นคู่ปรับของชินโนซึเกะ มักพ่ายแพ้ให้กับความกะล่อนของชินโนซึเกะบ่อยครั้ง

ฮิโทชิ เด็กห้องกุหลาบ มีนิสัยแย่ ทำตัวนักเลง ชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่าโดยเฉพาะมาซาโอะคุง

เทรุโนบุ เด็กห้องกุหลาบ มีนิสัยแย่พอๆกับฮิโทชิ ชอบรังแกมาซาโอะคุง จับคู่รังแกกับฮิโทชิ
แก๊งแมงป่องแดงแห่งไซตามะ เป็นแก๊งนักเรียนม. ปลาย 3 คน ชอบบังเอิญแสดงตัวในสวนสาธารณะเวลาที่กลุ่มชินโนซึเกะ กำลังเล่น ทำให้ถูกนึกว่าเป็นตลกคาเฟ่ มีท่าประหลาดๆประจำแก๊งค์เสมอ(เรียงจากซ้าย มารี ริวโกะ โอกิง) แต่มักทำตัวเป็นประโยชน์ ไม่สร้างความเดือดร้อนให้ใคร เคยช่วยงานที่โรงเรียนอนุบาล
มิตจี้และโยชิริงเป็นคู่รักกัน มักจะมีปัญหาให้ครอบครัวโนะฮาร่าอยู่เสมอ

บูริบูริซาเอมอน ตัวละครในจินตนาการของชินโนะซึเกะ ซึ่งชินโนะซึเกะเคยเขียนการ์ตูนเล่นบ่อยครั้ง

หน้ากากแอ็คชั่น ฮีโร่ในดวงใจของชินโนซึเกะ

ซากุระ มิมิโกะ นางเอกในหนังเรื่องหน้ากากแอ็กชั่น

หุ่นยนต์คันตั้ม อะนิเมะหุ่นยนต์ในดวงใจของชินโนซึเกะ

สาวน้อยเวทมนตร์ โมเอะ-P อะนิเมะประเภทโชโจ ที่ชินโนซึเกะชื่นชอบ นอกจากนี้ ยังมีตัวละครที่อยู่ในหนังสือการ์ตูนด้วย แต่ตัวละครนี้พบไม่บ่อยนักสมโง่ เพื่อนอยู่ที่แฟลตรูหนู(ปรากฏตัวเล่ม19??)นักศึกษายาจก ชอบแอบไปกินข้าวบ้านคนอื่น

ลิลลี่ โคยูกิ กระเทยที่ทำงานอยู่ร้านน้ำชาสาวประเภทสอง

อุริมะ คุริโยะ สุดยอดเซลล์สาวสุดสวย(แต่มักจะถูกคนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นกระเทย) พยายามตามตื้อให้พ่อแม่ชินโนะซิเกะให้ซื้อของ แต่มักจะไม่สำเร็จทุกที ทั้งๆที่มีสุดยอดอุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับเซลล์เลดี้แล้ว ปัจจุบันหนีจากเมืองคาซิคาเบะแล้ว รอจนกว่าจะมาเยือนอีกครั้ง ทางสำนักพิมพ์ ต้นสังกัดของเขา บอกก่อนหน้านี้ว่า ยังมีงานเขียนของเขาตุนไว้บ้าง และก็คงจะทะยอยนำออกเผยแพร่ได้อีกระยะหนึ่ง

เกร็ดความรู้

ชินโนซึเกะ ได้เป็นนักแสดงรับเชิญในเรื่อง มาสค์ไรเดอร์เดนโอ นอกจากนี้ ยังได้รับเชิญในรูปแบบโฆษกเปิดตัวของซีรีส์ขบวนการนักสู้และมาสค์ไรเดอร์ ซีรีส์ และ พรีเคียว หน้ากากแอ็กชั่น เป็นการล้อเลียนเรื่อง มาสค์ไรเดอร์ โดยชุดคล้ายคาเมนไรเดอร์ZX หน้ากากแบบเปิดปากคล้ายไรเดอร์แมน แต่ท่าไม้ตายกลับไปคล้ายคลึงกับอุลตร้าแมน หุ่นยนต์คันตั้ม เป็นการล้อเลียนเรื่อง กันดั้ม โดยชื่อหุ่นเป็นการตัดพยัญชนะออก เต็งเต็ง ออกจากชื่อ (โดยตัว Ga เปลี่ยนเป็น Ka และ ตัว Da เปลี่ยนเป็น Ta ) ในประเทศญี่ปุ่น ชินจังเป็นการ์ตูนคลายเครียดที่ได้รับความนิยมมากที่สุด

การเมือง



อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (3 สิงหาคม พ.ศ. 2507 — ) นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยคนที่ 27 หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย[1] [2] เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับตำแหน่งในขณะที่มีอายุเพียง 44 ปีในอดีตอภิสิทธิ์เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของกรุงเทพมหานคร 6 สมัยและได้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่กำกับดูแล สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ และ สำนักงานคณะกรรมการกระจายอำนาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ในรัฐบาล นายชวน หลีกภัย (คณะรัฐมนตรีชุดที่ 53) นายอภิสิทธิ์เป็นผู้วางรากฐานการศึกษาแห่งชาติในปัจจุบัน เป็นผู้วางรากฐานการกระจายอำนาจการปกครองในปัจจุบัน และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวจากเศรษฐกิจโลกในปี 2541-2544 โดยสามารถดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้มากถึง 40,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐอเมริกา มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยจนถึงปัจจุบันอภิสิทธิ์เป็นนักการเมืองที่มีบุคลิกหน้าตาดี ได้รับสมญานามจากสื่อมวลชนว่า "หล่อใหญ่" ซึ่งตั้งให้เข้าชุดกันกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์รุ่นใหม่บุคคลอื่น ๆ เช่น นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ได้รับสมญานามว่า "หล่อเล็ก" และ นายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่เป็นเจ้าของสมญานาม "หล่อโย่ง" เป็นต้น[3][4]หลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 และมีการจัดตั้งรัฐบาลผสมที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ เนื่องจากเป็นพรรคการเมืองที่มี ส.ส.มากที่สุด และ สมัคร สุนทรเวช ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ทำให้พรรคประชาธิปัตย์มีสถานะเป็นพรรคฝ่ายค้านพรรคเดียวในสภาผู้แทนราษฎร อภิสิทธิ์ได้ประกาศจัดตั้งรัฐบาลเงาตามรูปแบบคณะรัฐมนตรีเงาที่มีในระบบเวสต์มินสเตอร์ของอังกฤษขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสนอแนะและติดตามตรวจสอบการบริหารงานของรัฐบาลหลังจากรัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต้องพ้นตำแหน่งเนื่องจากพรรคพลังประชาชนถูกศาลวินิจฉัยให้ยุบพรรค เกิดการย้ายขั้วทางการเมืองทำให้พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลโดยเป็นการย้ายขั้วจากส.ส.ของรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์กับพรรคร่วมรัฐบาลนายสมชาย ไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ให้เป็นรัฐบาล จนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของประเทศไทย ท่ามกลางความไม่พอใจของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ประวัติอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีชื่อเล่นว่า "มาร์ค" เกิดวันที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507 ที่ เมืองนิวคาสเซิล ประเทศอังกฤษ บุตรชายคนเดียว ในจำนวนบุตร 3 คน ของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข และอดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดลกับ ศ.พญ.สดใส เวชชาชีวะ มีพี่สาว คือ ศ.พญ.อลิสา วัชรสินธุ ศาสตราจารย์หน่วยจิตเวชเด็ก ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตเวชเด็ก และ น.ส.งามพรรณ เวชชาชีวะ เจ้าของงานเขียน "ความสุขของกะทิ" รางวัลซีไรท์ ประจำปี พ.ศ. 2549 และผู้แปลวรรณกรรมเยาวชน เช่น แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับถ้วยอัคนีเมื่อ ด.ช.อภิสิทธิ์ มีอายุไม่ถึงหนึ่งปี ครอบครัวเวชชาชีวะได้เดินทางกลับประเทศไทย ด.ช.อภิสิทธิ์ ได้เข้าเรียนระดับอนุบาลที่ โรงเรียนอนุบาลยุคลธร ระดับประถมที่ โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จากนั้นได้ย้ายกลับประเทศอังกฤษเพื่อเข้าเรียนที่ โรงเรียนสเกทคลิฟและเรียนต่อที่ โรงเรียนมัธยมอีตัน ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำเอกชน ระดับเตรียมอุดมศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของ กรุงลอนดอน ได้เข้าศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีในสาขาวิชา ปรัชญา การเมืองและเศรษฐศาสตร์ (Philosophy, Politics and Economics, P.P.E.) ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สำเร็จการศึกษาตามหลักสูตร 3 ปี โดยได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง นับเป็นคนไทยคนที่ 2 ที่ได้รับเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาวิชานี้ ต่อจาก พระยาศรีวิศาลวาจา[5][6]หลังสำเร็จการศึกษาปริญญาตรี อภิสิทธิ์ได้เข้ารับราชการเป็นอาจารย์ที่โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก เป็นเวลาเกือบ 2 ปี ได้รับการแต่งตั้งยศว่าที่ร้อยตรี ก่อนจะลาออกจากราชการกลับไปศึกษาต่อระดับปริญญาโททางด้านเศรษฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดอีกครั้ง โดยปริญญานิพนธ์ของนายอภิสิทธิ์ได้รับการยอมรับในระดับดีมาก โดยเทียบได้กับเกียรตินิยมอันดับ 1 เมื่อสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทแล้ว ได้กลับมาเป็นอาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากนั้นยังได้ศึกษาเพิ่มเติมจนสำเร็จปริญญาตรีนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหงอีกด้วยต้นปี พ.ศ. 2549 อภิสิทธิ์ได้รับปริญญา นิติศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยรามคำแหง จากการใช้ความรู้ความสามารถด้านกฎหมายปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรัฐมนตรี และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร สื่อมวลชนจึงเรียกอภิสิทธิ์ในบางครั้งว่า ดร.อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ [7]อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สมรสกับ ผศ.ทพญ.ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบุตรธิดาด้วยกัน 2 คนคือ น.ส.ปราง เวชชาชีวะ (มะปราง) และ นายปัณณสิทธิ์ เวชชาชีวะ (ปัณ)
ตระกูลเวชชาชีวะตระกูล "เวชชาชีวะ" มีบรรพบุรุษเป็นชาวจีน เดินทางโดยเรือมาขึ้นฝั่งที่ จ.จันทบุรี ต่อมาในรุ่นคุณปู่ได้เข้ามาอาศัยในกรุงเทพฯ คือ "คุณปู่ใหญ่" (พี่ชายของปู่) พระบำราศนราดูร (หลง เวชชาชีวะ) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข 2 สมัย ใน คณะรัฐมนตรี คณะที่ 29 (10 ก.พ. 2502-8 ธ.ค. 2506) และ คณะรัฐมนตรี คณะที่ 30 (11 ธ.ค. 2506- 11 มี.ค. 2512) เป็นผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลบำราศนราดูร จ.นนทบุรี เมื่อ ปี พ.ศ. 2492 และเป็นพี่ชายของนายโฆสิต เวชชาชีวะ ปู่ของอภิสิทธิ์สกุล "เวชชาชีวะ" หรือ "Vejjajiva" เป็นนามสกุล ลำดับที่ 4,881 จากนามสกุลพระราชทานสมัยรัชกาลที่ 6 ที่พระราชทาน รวมทั้งสิ้น 6,423 นามสกุล โดยพระราชทานให้กับรองอำมาตย์ตรีหลง (หลง เวชชาชีวะ) แพทย์ประจำจังหวัดลพบุรี กับ นายจิ๊นแสง (บิดา) นายเป๋ง (ปู่) และนายก่อ (ปู่ทวด) เนื่องจากเป็นต้นตระกูลเป็นแพทย์จึงมีคำว่า "เวช" อยู่ในนามสกุลด้วย [8]อภิสิทธิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องกับ สุรนันทน์ เวชชาชีวะ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในสมัยรัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร โดยที่นายสุรนันทน์เป็นบุตรของ นายนิสสัย เวชชาชีวะ อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นพี่ชายแท้ ๆ ของ ศ.นพ.อรรถสิทธิ์ เวชชาชีวะ บิดาของอภิสิทธิ์[9]
การรับราชการทหารช่วงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2550 วีระ มุสิกพงศ์ อดีตสมาชิกพรรคไทยรักไทย เปิดเผยว่าอภิสิทธิ์ไม่เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร[10][11] พร้อมทั้งแจกจ่ายจดหมายเปิดผนึกให้กับพรรคประชาธิปัตย์และสื่อมวลชน[12] เรื่องดังกล่าวมีการเปิดเผยต่อสาธารณะมาก่อนตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 ในช่วงรัฐบาลนายชวน หลีกภัย 1 ซึ่งอภิสิทธิ์ ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยอภิสิทธิ์ได้เคยแถลงว่า ตนเคยรับราชการทหาร เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตร ได้รับพระราชทานยศร้อยตรี โดยการเป็นอาจารย์ที่ โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า[10] คำแถลงของอภิสิทธิ์ ได้รับการยืนยันจากกองทัพในขณะนั้นว่าเป็นความจริง แต่เนื่องจากการเข้ารับราชการ ต้องแสดงเอกสารเกี่ยวกับการเกณฑ์ทหาร [13] จึงเกิดข้อกังขาว่า หากอภิสิทธิ์ไม่ผ่านการเกณฑ์ทหาร เหตุใดจึงสามารถสมัครเข้าเป็นอาจารย์ ในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าได้เรื่องดังกล่าว อภิสิทธิ์เคยแถลงเพียงว่า เป็นอำนาจวินิจฉัย และความรับผิดชอบของเจ้าพนักงานในขณะนั้น ในอีกทางหนึ่งเรื่องนี้เคยมีความเห็นจาก พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อปี พ.ศ. 2542 ว่าในครั้งนั้น อภิสิทธิ์ สมัครเข้ารับราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม โดยขาดส่งหลักฐานทางทหาร ซึ่งมีฐานความผิดเพียงโทษปรับ และมีความเห็นว่าอภิสิทธิ์ ได้เข้ารับราชการทหารแล้ว [14]ช่วงเวลาเดียวกันมีความเห็น จากแหล่งข่าวในกองทัพ ว่ากองทัพบกมีเอกสารต้นขั้ว สด.๙ ที่ออกให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพื่อบรรจุเป็นทหารกองเกิน เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 จริง และมีเอกสาร สด.๑ ของสัสดีที่ยืนยันการรับ สด.๙ ด้วย อย่างไรก็ดี แม้อภิสิทธิ์ไม่มารับการตรวจเลือกและไม่ได้รับ สด.๔๓ แต่เมื่อไปรับราชการ เป็นข้าราชการพลเรือนสังกัดกระทรวงกลาโหมในวันที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2530 ก็ถือว่ามีฐานะเป็นทหารแล้ว เพียงแต่ไม่ไปแจ้งให้พ้นบัญชีคนขาดเท่านั้น[15]การโจมตีเรื่องอภิสิทธิ์ไม่ได้เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร เกิดขึ้นอีกครั้งประมาณปลายปี พ.ศ. 2551 หลังพรรคพลังประชาชนถูกศาลวินิจฉัยให้ยุบพรรค และอภิสิทธิ์เป็นผู้หนึ่งที่มีโอกาส จะได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในที่สุดกลายเป็นหัวข้อหนึ่งที่ใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรี เมื่ออภิสิทธิ์ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ไม่ถึง 3 เดือนในวันที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552 อภิสิทธิ์ได้ตอบกระทู้อภิปรายไม่ไว้วางใจ เกี่ยวกับการรับราชการทหารว่า มีความเข้าใจผิดว่าตนสมัครเข้ารับราชการทหาร หลังจากไม่เข้ารับการตรวจเลือกการเกณฑ์ทหาร แต่ในความเป็นจริง ได้สมัครเข้ารับราชการทหารตั้งแต่ก่อนถึงกำหนดเกณฑ์ทหารแล้ว การสมัครเข้ารับราชการทหารในขณะนั้นจึงไม่ต้องใช้ สด.๔๓ แต่ใช้ สด.๙ และหนังสือผ่อนผันฯ แทน ซึ่งอภิสิทธิ์ยืนยันว่าขณะที่สมัครเข้า รร.จปร. ตนมีเอกสาร สด.๙ ที่ได้รับประมาณกลางปี พ.ศ. 2529 หลังสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีและกลับมาถึงประเทศไทย และมีรายชื่อได้รับการผ่อนผันฯ เพื่อเรียนต่อปริญญาโท ช่วงปี พ.ศ. 2530 ถึง พ.ศ. 2532 ตามบัญชีของ ก.พ. ที่จัดทำตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2529 การสมัครเข้า รร.จปร. ของตนจึงเป็นการสมัครโดยมีคุณสมบัติครบถ้วน หลังจากสมัครเข้า รร.จปร. ได้ผ่านการฝึกทหารคล้ายการฝึก รด. จนครบตามหลักสูตรจึงได้รับพระราชทานยศร้อยตรี ในการขอติดยศร้อยตรีนั้นตนได้ทำเอกสาร สด.๙ หายจึงได้ไปขอออกใบแทน แต่ในการสมัครเข้า รร.จปร. ได้ใช้ สด.๙ ตัวจริงสมัคร แล้วเอกสารมีการสูญหายในภายหลัง ในการอภิปรายครั้งนี้อภิสิทธิ์ได้แสดง สำเนาบัญชีรายชื่อผู้ได้รับการยกเว้นผ่อนผันฯ และ สำเนา สด.๙ ฉบับแรกของตน ต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรด้วย
ประวัติการทำงานพ.ศ. 2530 - 2531 อาจารย์ประจำ (ยศร้อยตรี) โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า (จปร.) เขาชะโงก จังหวัดนครนายก พ.ศ. 2532 อาจารย์ มหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด ประเทศอังกฤษ พ.ศ. 2533 - 2534 อาจารย์ประจำ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กรุงเทพมหานคร
เข้าสู่แวดวงการเมืองอภิสิทธิ์ เริ่มต้นชีวิตการเมืองด้วยการเป็นอาสาสมัครช่วยหาเสียงให้กับ พิชัย รัตตกุล ในเขตคลองเตย ช่วงปิดภาคเรียนที่กลับมาเมืองไทย ต่อมาได้เข้าช่วยงานด้านวิชาการในเรื่อง แผนพัฒนาเศรษฐกิจ ให้กับ นายชวน หลีกภัย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้น ก่อนจะลงสมัครรับเลือกตั้งในนาม พรรคประชาธิปัตย์ ได้เป็น ส.ส.กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2535 ขณะมีอายุได้เพียง 27 ปี ซึ่งนับว่าเป็น ส.ส. ที่มีอายุน้อยที่สุดในขณะนั้น[17] และเป็น ส.ส.เพียงคนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ในเขตกรุงเทพมหานครและพื้นที่ภาคกลาง ท่ามกลางกระแส "มหาจำลองฟีเวอร์" กับการเป็นนักการเมือง "หน้าใหม่" ที่เพิ่งลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งแรกในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ. 2535 อภิสิทธิ์เป็นหนึ่งในบุคคลที่ร่วมปราศรัยและคัดค้านการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.สุจินดา คราประยูร[17] ที่ สนามหลวง และลานพระบรมรูปทรงม้า ในฐานะนักวิชาการ และตัวแทนของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งในครั้งนั้นประกาศไม่เข้าร่วมรัฐบาลของ พล.อ.สุจินดา คราประยูรอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มีผลงานทางการเมืองที่สำคัญ คือการจัดทำพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542[18] ซึ่งเป็นพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติฉบับแรกของไทย ที่ดำเนินการจัดทำจนสำเร็จในช่วงเวลาที่อภิสิทธิ์ดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี[19] ที่กำกับดูแลสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ เพื่อมอบสิทธิแก่เยาวชนไทยในการได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปี ที่รัฐจะต้องจัดให้ทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 มาตรา 43 โดยอภิสิทธิ์มีบทบาทดูแลทั้งด้านนโยบาย หลักการและรายละเอียด รวมทั้งผลักดันให้ผ่านคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา เป็นประธานกรรมาธิการวิสามัญ พิจารณาร่างพระราชบัญญัติการศึกษา ของสภาผู้แทนราษฎร ตลอดจนได้จัดตั้งคณะกรรมการบริหารสำนักงานปฏิรูปการศึกษา และได้ดูแลจนกระทั่งพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสำนักงานรับรองและประเมินคุณภาพการศึกษาประกาศใช้ศาสตราจารย์ ดร.สิปปนนท์ เกตุทัต อดีตกรรมการการศึกษาแห่งชาติผู้ทรงคุณวุฒิ และ ประธานกรรมการพัฒนาการ เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยให้ความเห็นไว้ว่า อภิสิทธิ์เป็นผู้หนึ่งที่มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาของ พระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และการปฏิรูปการศึกษาของไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง[17]นอกจากนี้ อภิสิทธิ์ยังมีผลงานผลักดันกฎหมายและแนวคิดต่างๆ จำนวนมาก[6] อาทิเช่น กฎหมายข้อมูลข่าวสาร กฎหมายกระจายอำนาจแก่ท้องถิ่น กฎหมายคุ้มครองเสรีภาพสื่อมวลชน การผลักดันให้มี วิทยุชุมชนในท้องถิ่น การผลักดัน ให้มีองค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบ เช่น ปปช., ศาลปกครอง และ กกต. การเสนอมาตรการคุ้มครองผู้ให้ข้อมูลการทุจริตของ หน่วยงานรัฐ หรือนักการเมือง การเสนอกฎหมายให้การฮั้วประมูลเป็นความผิดทางอาญา การเสนอกฎหมายองค์การมหาชน เพื่อให้การให้บริการของรัฐ มีความสะดวกคล่องตัว และการผลักดันแนวคิดเรื่องการสรรหาผู้บริหารระดับสูงในองค์กรภาครัฐ ด้วยระบบสัญญาจ้าง เพื่อให้สามารถสรรหาผู้บริหารระดับสูงที่มีคุณภาพ ทำงานอย่างอิสระ โดยได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมจากผลงานการใช้ความรู้ความสามารถด้านกฎหมาย ในการปฏิบัติหน้าที่ทางการเมืองดังกล่าว ทำให้อภิสิทธิ์ได้รับ ปริญญานิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก มหาวิทยาลัยรามคำแหง ในปี พ.ศ. 2549[17]
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์อภิสิทธิ์เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ต่อจากบัญญัติ บรรทัดฐาน ตั้งแต่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 หลังจากที่พรรคประชาธิปัตย์ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าพรรคไทยรักไทยในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในประเทศไทย พ.ศ. 2548 [20]
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในวันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 เวลา 17.19 น.พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ชัย ชิดชอบ ประธานสภาผู้แทนราษฎร นำร่างพระบรมราชโองการแต่งตั้งอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน[53] (ฟังเสียงแถลงการณ์อภิสิทธิ์ฯ หลังรับพระบรมราชโองการฯ)การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีที่มีความสำคัญรวมไปถึงกษิต ภิรมย์ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ชวรัตน์ ชาญวีรกูล อดีตผู้รับเหมาก่อสร้าง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และกรณ์ จาติกวณิช อดีตนายทุนนายธนาคารและอดีตเพื่อนร่วมคณะเศรษฐศาสตร์กับนายอภิสิทธิ์ที่มหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง[54] อภิสิทธิ์ถูกวิพากย์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง จากกรณีที่แต่งตั้งนายกษิตมาเป็นรมว.ต่างประเทศ อภิสิทธิ์ออกมากล่าวปกป้องนายกษิตว่า "คุณกษิตได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานของเขามาอย่างดี เคยเป็นเอกอัครราชทูตคนสำคัญของประเทศ มีความรู้เกี่ยวกับเศรษฐกิจเป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าเขาเคยร่วมแถลงการณ์ต่างๆหรือร่วมชุมนุมกับพันธมิตรฯ แต่ถ้าเขาไม่ได้ทำอะไรที่ผิดกฎหมายเขาก็จะไม่ถูกดำเนินคดี"[55] พรทิวา นาคาศัย อดีตเจ้าของธุรกิจอาบอบนวด เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้ อภิสิทธิ์ได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้มีการเจรจาต่อรองตำแหน่งทางการเมืองแต่อย่างใด[56]เมื่ออภิสิทธิ์ก้าวขึ้นมาสู้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการเป็นลำดับแรกคือ ส่งSMS ไปยังหมายเลขผู้ใช้โทรศัพท์มือถือจำนวน 10 ล้านคน ปรากฏข้อความว่า "Your PM" เชิญชวนให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมในการแก้ปัญหาวิกฤตของชาติ หากผู้ใช้โทรศัพท์มือถือรายใดสนใจ ให้ส่งข้อความตอบกลับทางไปรษณีย์ในราคา 3 บาท อภิสิทธิ์ถูกวิพากย์วิจารณ์ว่าเข้าข่ายละเมิดสิทธิ์ส่วนบุคคล จากกรณีที่ส่งSMS ไปยังผู้ใช้โทรศัพท์มือถือ คณะกรรมการโทรคมนาคมแห่งชาติ กล่าวว่า ได้ตั้งข้อกำหนดในระบบโทรศัพท์มือถืออาจไม่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้าบางราย รวมไปถึงหมายเลขโทรศัพท์นั้นๆ โดยที่ลูกค้ารายนั้นไม่ยินยอม อย่างไรก็ตามยังไม่มีใครออกมาต่อต้านการกระทำของอภิสิทธิ์แต่อย่างใด [57][58]
ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยาในเดือนมกราคม พ.ศ. 2552 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่ามีผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยาจำนวน 1,000 คนอพยพมาจากประเทศพม่า ได้ถูกราชนาวีไทยจับกุมพร้อมทั้งถูกทารุณกรรม จากนั้นถูกจับโยนลงทะเลโดยไม่มีเรือมารับ และขาดแคลนทั้งน้ำและอาหาร เรื่องนี้อภิสิทธิ์ออกมาตอบโต้ในเบื้องต้นว่า ซีเอ็นเอ็นรายงานข่าวเกินความจริง และที่ว่าผู้ลี้ภัยเหล่านี้ใช้เรือใบโดยไม่มีเครื่องยนต์และห้องน้ำบนเรือ จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือพวกเขาขึ้นมายังชายฝั่ง ทางด้าน พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ออกมาปฏิเสธว่าสื่อรายงานไม่ถูกต้อง[59]วันที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2552 ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ออกมาขอร้องให้รัฐบาลไทยช่วยเข้าถึงตัวผู้รอดชีวิตบนเรือ 126 คนจากการดูแลของไทย[60] อภิสิทธิ์กล่าวว่า เขารู้สึกยินดีที่ได้ร่วมงานกับองค์กรระหว่างประเทศ แต่แท้ที่จริงแล้วองค์กรนี้จะต้องทำงานบนพื้นฐานของความร่วมมือกับวิธีปฏิบัติของรัฐบาลไทยที่ถูกต้อง กองทัพกล่าวว่าทางกองทัพเองไม่มีข้อมูลที่กระจ่างชัดเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยในการควบคุมของกองทัพ[61]นอกจากนี้สื่อยังได้รายงานผลการสอบสวนว่า ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ได้หายตัวไปจากการกักขังที่ส่วนกลางและยังไม่พบว่าอยู่ที่ไหน ทางเจ้าหน้าที่ราชนาวีไทยให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า "พวกเราอาจหยุดเดินเรือหรือพวกเขาจะกลับมา ทิศทางลมจะพาพวกเขาไปยังอินเดียหรือไม่ก็ที่อื่น"[62] จากนั้นอภิสิทธิ์ให้สัญญาว่าจะดำเนินการสอบสวนผู้นำทางทหารอย่างเต็มที่ แต่ออกมาปฏิเสธข้อกล่าวหาที่หาว่าปกปิดการใช้อำนาจกองทัพไปในทางที่ผิด การสอบสวนถูกนำโดยกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน เป็นหน่วยงานที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ จากนั้นได้ทบทวนเพื่อดำเนินการกับกลุ่มคนที่โฆษณาชวนเชื่อให้ต่อต้าน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร[63] นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เสนอแนะว่าสถานการณ์ทั้งหมดเป็นเรื่องที่ปั้นน้ำเป็นตัวขึ้นมาทั้งนั้น เพื่อทำลายภาพลักษณ์และชื่อเสียงของประเทศไทย[64] นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวหาซีเอ็นเอ็นว่า รายงานข่าวไม่เป็นความจริงและยังเรียกร้องให้ประชาชนอย่าไปหลงเชื่อ[65][66]แองเจลินา โจลี ทูตสันถวไมตรีแห่งข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ วิจารณ์รัฐบาลไทยว่าไม่สนใจไยดีต่อสภาพความเป็นอยู่ที่เลวร้ายของชาวโรฮิงยา และเสนอแนะว่ารัฐบาลไทยควรดูแลคนกลุ่มนี้ให้ดีกว่าตอนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพม่า กระทรวงการต่างประเทศออกมาตำหนิ UNHCR มีการบันทึกว่า UNHCR ไม่มีอำนาจหน้าที่และการกล่าวว่าเรื่องนี้ไม่ควรจะอ้างถึงกระทรวงการต่างประเทศ และอาคันตุกะของกระทรวงการต่างประเทศ[67][68] นายอภิสิทธิ์ถูกวิพากษ์วิจารณ์ทั้งนักวิเคราะห์ชาวไทยและชาวต่างชาติ จากการที่ออกมาปกป้องกองทัพที่ใช้จ่ายเงินในการปกป้องสิทธิมนุษยชนของผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงยา "เราจะไม่เห็นรัฐบาลอภิสิทธิ์เจริญก้าวหน้าหลังจากกองทัพ เพราะมันเป็นผลประโยชน์ในตำแหน่งของเขา" ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ นักวิทยาศาสตร์การเมืองกล่าว[69][70]
ด้านความมั่นคงอภิสิทธิ์ได้ลงนามอนุมัติให้ซื้อเครื่องบินรบยาส 39 จำนวน 6 ลำ จากประเทศสวีเดน ในวงเงิน 19,500 ล้านบาท ซึ่งมีแผนที่จะซื้อตั้งแต่สมัย รัฐบาลสุรยุทธ์ จุลานนท์[71]
กรณีสิทธิบัตรยาอภิสิทธิ์สานต่อนโยบายเกี่ยวกับมาตรการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรยาของรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เรียกร้องให้ปฏิบัติตามข้อตกลงขององค์การการค้าโลก (WTO) ในเรื่องของทรัพย์สินทางปัญญา เมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 เขาเตือนว่าสิทธิบัตรยาที่อยู่ในสภาวะถูกกดดันอย่างนี้อาจบานปลายมากยิ่งขึ้น ถ้าหากว่าสหรัฐอเมริกาทำสภาพการค้าของประเทศไทยให้ตกต่ำลง[72]
การออกกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เสนอกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่เพิ่มโทษหนักกว่าเดิม ซึ่งจะทำให้ทัศนคติของบุคคลที่ดูหมิ่นและมีความต้องการให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยบนอินเทอร์เน็ตนั้นเป็นความผิดทางอาญา มีโทษจำคุก 3 - 20 ปี หรือปรับ 200,000 - 800,000 บาท[73] ในเวลาเดียวกัน พรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่ามี 29 เว็บไซต์ที่มีเนื้อหาและข้อความแสดงความคิดเห็นที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งทางพรรคประชาธิปัตย์เชื่อว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์.[74]
การตรวจสอบขบวนการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพการตรวจตราความเลวร้ายภายใต้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะโดยเปรียบเทียบรัฐบาลพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร[75] อภิสิทธิ์จัดตั้งกองกำลังทหารเฉพาะกิจที่คอยต่อสู้กับอันตรายจากความคิดเห็น ที่พิจารณาถึงบทบาทสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยในทางการเมือง รัฐบาลอภิสิทธิ์เปิดเว็บไซต์ที่ส่งเสริมให้ประชาชนแจ้งเว็บไซต์ผิดกฎหมาย มีเว็บไซต์กว่า 4,800 เว็บไซต์ถูกบล็อก เนื่องจากมีเนื้อหาที่เข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การเคลื่อนไหวถูกมองโดยนักเคลื่อนไหวสิทธิมนุษยชน ว่าเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่รณรงค์ร่วมกันเพื่อระงับการอภิปรายทางการเมืองภายในราชอาณาจักร[76]ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 เจ้าหน้าที่ตำรวจได้เข้าตรวจค้นที่ทำการของเว็บไซต์ประชาไท ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ออนไลน์ที่คอยจ้องจับผิดรัฐบาล หนังสือพิมพ์ฉบับนี้อยู่บนพื้นฐานของการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ 2 วันถัดมา อภิสิทธิ์ไปพบกับตัวแทนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตไทยและสัญญาว่าจะเคารพสิทธิเสรีภาพของพลเมือง ที่แสดงสีหน้าในขณะที่มีการพัฒนาบรรทัดฐานและมาตรฐานใหม่[77]
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอภิสิทธิ์แต่งตั้งนายกษิต ภิรมย์ แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยประท้วงประเทศกัมพูชาที่กระตุ้นให้บรรยากาศต่อต้าน พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตรดำเนินไปข้างหน้า ความสำคัญลำดับแรกในการแต่งตั้งเขา กษิตเคยเรียกสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ว่า "นักเลง" (ต่อมานายกษิตให้ความหมายว่านักเลง หมายถึง เป็นคนที่ใจกล้า เป็นสุภาพบุรุษที่กล้าหาญและใจกว้าง) ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 เกิดเหตุปะทะกันระหว่างกองทัพไทยกับกองทัพกัมพูชาบริเวณปราสาทเขาพระวิหารบริเวณใกล้กับชายแดนไทย-กัมพูชา รัฐบาลกัมพูชาอ้างว่าได้สังหารทหารไทยไป 4 ศพและถูกจับกุมมากกว่า 10 คน ถึงแม้ว่ารัฐบาลไทยจะออกมาปฏิเสธว่าทหารไทยไม่ได้เสียชีวิตหรือบาดเจ็บก็ตาม ทหารกัมพูชา 2 คนถูกสังหาร กองทัพทั้ง 2 ฝ่ายต่างกล่าวหากันว่าเป็นฝ่ายยิงนัดแรกและรุกล้ำเข้ามายังเขตแดนก่อน.[78][79]
เช็คช่วยชาติวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกได้สร้างผลกระทบอย่างมากต่อประเทศไทย จำนวนผู้ว่างงานในเดือนมกราคม 2552 เพิ่มขึ้นเป็น 800,000 คน โดยเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2551[80] ในต้นปี พ.ศ. 2552 เศรษฐกิจถูกคาดหวังว่าจะ ว่าจ้างตามสัญญา 3% ตลอดทั้งปี[81] อภิสิทธิ์ตอบรับวิกฤตเศรษฐกิจนี้โดยการแจกเช็คช่วยชาติ 2,000 บาท (ประมาณ $75) สำหรับผู้ที่มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 15,000 บาท (ประมาณ $500) [82]
การสั่งฟ้องพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอภิสิทธิ์ให้สัญญาว่าจะใช้หลักนิติรัฐและสั่งฟ้องแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยทั้ง 21 คน ที่ต้องรับผิดชอบจากการยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะที่เดือนเมษายนหมายจับยังไม่ออก[83]
ความสนใจกีฬาอภิสิทธิ์สนใจกีฬาฟุตบอลตั้งแต่เด็ก เขาคิดว่าเป็นกีฬาที่มีเสน่ห์เป็นพิเศษ เวลาที่ดูเขาจะเชียร์เต็มที่ เขาบอกว่ามันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของชีวิต แต่คงไม่ถึงขั้นกับว่า มากระทบกระเทือนต่อหน้าที่การงาน สโมสรฟุตบอลที่เขาชื่นชอบคือ นิวคาสเซิล อภิสิทธิ์เคยให้สัมภาษณ์ประมาณว่ารักทีมนี้สุดจิตสุดใจและยังเคยกล่าวด้วยว่า "ผมไม่ค่อยจะเครียดเรื่องอะไรมาก จะมีเรื่องเดียวคือเวลานิวคาสเซิ่ลแพ้ ซึ่งก็บ่อยซะด้วย"[104] เขายังบอกด้วยว่าสาเหตุที่ฟุตบอลไทยไม่เคยพัฒนาได้ถึงบอลโลก ก็เพราะว่า "ประเทศไทยขาดการพัฒนาการแข่งขันมาจากรากฐานของท้องถิ่น ลีกที่ดีๆต้องมีคนเชียร์เป็นเรื่องเป็นราว มีความผูกพันอยู่กับทีมสร้างทีมขึ้นมา ของไทยเราไม่ใช่ ของเรามาจากส่วนกลาง ถ้าเทียบลีกในยุโรปช่วงที่มีแข่งทุกวันเสาร์ เขาจะไปเชียร์มันเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตเลย เด็กที่โตในเมืองนั้นก็จะโตมากับความฝันที่จะได้เล่นในทีม เป็นฮีโร่ของทีม ของไทยเราไม่ได้กระจายแบบนั้น" และมีความคิดที่จะส่งเสริมค่านิยมในการดูฟุตบอลที่ถูกต้อง และมีทัศนคติว่า การที่เล่นกีฬาเป็นประจำมันก็สอนเราเกี่ยวกับเรื่องการทำงานกับคนอื่น เกี่ยวกับเรื่องการแพ้การชนะแต่ละคนดนตรีอภิสิทธิ์เริ่มฟังดนตรีตั้งแต่ตอนเป็นเด็ก หากไม่ฟังประชุมสภาก็จะฟังเพลง อภิสิทธิ์ชอบพกพาวิทยุ เครื่องเล่นเทป ติดตัวไปสมัยที่ยังเรียนอยู่ที่โรงเรียนประจำ อภิสิทธิ์เริ่มจากการฟังเพลงป็อป เช่น แอ็บบ้า ต่อมาเป็นดิ อีเกิลส์ เฮฟวีเมทัล แต่แนวก็จะเป็นเพลงร็อกและแนวเพลงร่วมสมัย เพราะชอบจังหวะ ชอบความหนักแน่นของมัน ส่วนใหญ่จะมีเนื้อร้อง เนื้อเพลง ที่บ่งบอกความร่วมสมัย ตั้งแต่ผ่านยุคทศวรรษ 80 ผ่านยุคกรันจ์ ผ่านยุคผสมกับอีเลกโทรนิกแร็ป เป็นต้นมา จะมีเรื่องของภาพลักษณ์ตามมาด้วย เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของมิวสิก วีดิโอ และจะเริ่มนึกถึงเสื้อผ้า นึกถึงทรงผมได้เหมือนกัน วงดนตรีที่ชื่นชอบคือ อาร์.อี.เอ็ม.[106] กรีนเดย์ และโอเอซิส
ผลงานหนังสือมาร์ค เขาชื่อ... อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ. พ.ศ. 2548, ISBN 978-974-93358-1-9 การเมืองไทยหลังรัฐประหาร. พ.ศ. 2550, ISBN 978-974-88195-1-8 เขียนรัฐธรรมนูญอย่างไรไม่ถูกฉีก. พ.ศ. 2550, ISBN 978-974-7310-66-5 ร้อยฝันวันฟ้าใหม่. พ.ศ. 2550, ISBN 978-974-8494-81-4
เกียรติยศนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะได้รับความชื่นชมและรางวัลต่าง ๆ ดังนี้[108]
เครื่องราชอิสริยาภรณ์พ.ศ. 2535 : ตริตาภรณ์มงกุฏไทย (ต.ม.) พ.ศ. 2536 : ทวีติยาภรณ์ช้างเผือก (ท.ช.) พ.ศ. 2538 : ประถมาภรณ์มงกุฏไทย (ป.ม.) พ.ศ. 2540 : ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.) พ.ศ. 2541 : มหาวชิรมงกุฎ (ม.ว.ม.) พ.ศ. 2542 : มหาปรมาภรณ์ช้างเผือก (ม.ป.ช.)
การได้รับการจัดอันดับในระดับนานาชาติพ.ศ. 2535 : 1 ใน 100 ผู้นำสำหรับโลกวันพรุ่งนี้, โดย World Economic Forum (องค์กรที่ทำงานเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเมืองของโลก) พ.ศ. 2540 : 1 ใน 6 นักการเมืองที่เป็นความหวังของเอเซีย, โดย นิตยสารไทม์ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2540, “เสียงใหม่ๆ เพื่อเอเซียใหม่” พ.ศ. 2542 : 1 ใน 20 ผู้นำสำหรับสหัสวรรษ ด้านการเมือง, โดย นิตยสารเอเซียวีค 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2542 พ.ศ. 2552 : ไดรับเชิญให้เข้าร่วมประชุม World Economics Forume ที่เมือง Davosโดยเป็นผู้นำประเทศคนที่สองที่ได้รับเชิญ ถัดจากนายชวน หลีกภัย

กีฬา.

กีฬาวอลเลย์บอล

ประวัติกีฬาวอลเลย์บอลนอกประเทศ .

กีฬาวอลเลย์บอลเริ่มขึ้นเมื่อปี ๒๔๓๘ โดยนายวิลเลียม จี มอร์แกน (William G. Morgan) ผู้อำนวยการฝ่ายพลศึกษาของสมาคมY.M.C.A.(Young Men's Christian Association) เมืองฮอลโยค (Holyoke) มลรัฐแมสซาซูเซตส์ (Massachusetts) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นผู้คิดเกมการเล่นขึ้น เนื่องจากในฤดูหนาวหิมะตกลงมา ู้คนทั่วไปไม่สามารถเล่นกีฬากลางแจ้งได้ เขาได้พยายาม คิดและดัดแปลง กิจกรรมต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นกิจกรรมนันทนาการผ่อนคลายความตึงเครียดให้เหมาะสมกับฤดูกาล ขณะที่เขาดูการแข่งขันเทนนิส เขาได้เกิดแนวความคิดที่จะนำลักษณะและวิธีการ เล่นของกีฬาเทนนิสมาดัดแปลงใช้เล่น จึงใช้ตาข่ายเทนนิสซึ่งระหว่างเสาโรงยิมเนเซียม สูงจากพื้นประมาณ ๖ ฟุต ๖ นิ้ว และใช้ยางในของลูกบาสเกตบอลสูบลมให้แน่น แล้วใช้มือและแขนตีโต้ ข้ามตาข่ายกันไปมา แต่เนื่องจากยางใน ของลูกบาสเกตบอลเบาเกินไปทำให้ลูกบอลเคลื่อนที่ช้าและทิศทางที่เคลื่อนไปไม่แน่นอน จึงเปลี่ยนมาใช้้ลูกบาสเกตบอล แต่ลูกบาสเกตบอลใหญ่ หนักและแข็งเกินไปทำให้มือของผู้เล่นได้รับบาดเจ็บ ในที่สุดเขาจึงให้ บริษัท A.G. Spalding and Brother Company ผลิตลูกบอลที่หุ้มด้วยหนังและบุด้วย ยาง มีเส้นรอบวง ๒๕-๒๗ นิ้ว มีน้ำหนัก ๙-๑๒ ปอนด์ หลังจากทดลองเล่นแล้ว เขาจึงตั้งชื่อเกมการเล่นนี้ว่า "มินโตเนต" (Mintonette)
ปี พ.ศ ๒๔๓๙ มีการประชุมสัมมนาผู้นำทางพลศึกษาที่วิทยาลัยสปริงฟิลด์ (Spring-field College) นายวิลเลียม จี มอร์แกน ได้สาธิตวิธีการเล่นต่อหน้าที่ประชุมหลังจากที่ประชุมได้ชมการสาธิต ศาสตราจารย์ อัลเฟรด ที เฮลสเตด ( Alfred T. Helstead) ได้เสนอแนะให้มอร์แกนเปลี่ยนจากมินโตเนต (Mintonette) เป็น "วอลเลย์บอล" (Volleyball) โดยให้ความเห็นว่าเป็นวิธีการเล่นโต้ลูกบอลให้ลอยข้ามตาข่ายไปมาในอากาศ โดยผู้เล่นพยายามไม่ให้ลูกบอล ตกพื้น
ต่อมากีฬาวอลเลย์บอลได้แพร่หลายและเป็นที่นิยมเล่นกันในหมู่ประชาชนชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก เพราะเป็นเกมที่เล่นง่าย สามารถเล่นได้ตามชายทุ่งชายหาด และตามค่ายพักแรมทั่วไป
ปี พ.ศ ๒๔๗๑ ดอกเตอร์ จอร์จ เจ ฟิเชอร์ ( Dr.George J.Fisher ) ได้ปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงกติกา การเล่นวอลเลย์บอล เพื่อใช้ในการแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอล ในระดับชาติ ซึ่งบุคคลผู้นี้เป็นผู้มีบทบาทอย่างมาก ในการเผยแพร่กีฬาวอลเลย์บอลจนได้รับสมญานามว่า บิดาแห่งกีฬาวอลเลย์บอล

ประวัติกีฬาวอลเลย์บอลในประเทศ
กีฬาวอลเลย์บอลได้แพร่เข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่เมื่อใด ไม่มีหลักฐานแน่ชัดแต่สันนิษฐานว่าชาวไทย บางกลุ่มได้เริ่มเล่นและแข่งขันกีฬาวอลเลย์บอลมาตั้งแต่หลังสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๒ เป็นต้นมา
ปี พ.ศ.๒๔๗๗ กรมพลศึกษาได้จัดให้มีการแข่งขันกีฬาประจำปี และบรรจุกีฬาวอลเลย์บอลหญิงเข้าไว้ ในรายการแข่งขันเป็นครั้งแรก โดยใช้กติกาการเล่นระบบ ๙ คน และตั้งแต่นั้นกีฬาวอลเลย์บอลก็พัฒนาขึ้นโดยตลอด
ปี พ.ศ ๒๕๐๐ ประเทศไทยได้จัดตั้งสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลขึ้น โดยมี พลเอกสุรจิตร จารุเศรณี เป็นนายกสมาคมคนแรก เมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๐ และได้รับชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "สมาคมวอลเลย์บอลสมัครเล่นแห่งประเทศไทย" (Amature Volleyball Association of Thailand)
ปัจจุบันกีฬาวอลเลย์บอลได้นิยมเล่นกันอย่าง แพร่หลายทั้งในโรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย และตามหน่วยงานต่าง ๆ นอกจากนี้ยังมีการจัดการแข่งขัน มากมายหลายรายการ เป็นประจำทุกปี ดยการดำเนินงานของ สมาคมวอลเลย์บอล สมัครเล่นแห่งประเทศไทยและ หน่วยงานอื่น ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ที่ให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี

ประโยชน์ของการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล
การเล่นกีฬาเป็นการออกกำลังกายชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าการออกกำลังกายเป็นยาขนานวิเศษ ดังคำกล่าวที่ว่า"กีฬา กีฬา เป็นยาพิเศษ"วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ทำให้ผู้เล่นเกิดประโยชน์ดังนี้
๑. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ฝึกหัดเล่นให้เป็นได้ง่ายและเล่นได้ทุกเพศทุกวัย เมื่อเล่นวอลเลย์บอลเป็นแล้ว จะทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นกีฬาได้นานกว่ากีฬาบางประเภท ซึ่งคุ้มกับที่ได้ฝึกฝนมาแม้แต่สตรีที่มีบุตร แล้วหากมีร่างกายแข็งแรงก็สามารถเข้าร่วมการแข่งขันได้เป็นอย่างดี
๒. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาประเภททีม จึงต้องมีการฝึกซ้อมเพื่อให้การเล่นในทีมมีความสัมพันธ์และรักใคร่ ปรองดองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากทีมใดขาดความสามัคคีแล้ว เมื่อลงแข่งขันย่อมจะมีชัยชนะได้ยาก ผลของการเล่นกีฬาประเภทนี้จึงสามารถ นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน ให้มีนิสัยรักใคร่สามัคคีกันระหว่างหมู่คณะมากยิ่งขึ้น
๓. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ช่วยฝึกฝนให้ผู้เล่นมีไหวพริบที่ชาญฉลาดและแก้ปัญหาอย่างฉับพลันทันที เพราะการเล่นวอลเลย์บอลนั้นผู้เล่นจะต้องเคลื่อนไหวร่างกายอยู่ตลอดเวลา รวมทั้งต้องมีไหวพริบที่ดี สามารถตัดสินใจ และแก้ปัญหาเฉพาะหน้าต่าง ๆ ได้จึงจะทำให้มีชัยชนะในการเล่น
๔. การเล่นวอลเลย์บอลเป็นการส่งเสริมและฝึกให้ผู้เล่นมีจิตใจเยือกเย็น สุขุม รอบคอบ อารมณ์มั่นคง มีสมาธิดี มีความเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะผู้เล่นที่อารมณ์ร้อน มุทะลุ ดุดัน เอาแต่ใจตนเอง จะทำให้การเล่น ผิดพลาดบ่อย ๆ ถ้าเป็นการแข่งขันก็จะแพ้ ฝ่ายตรงข้ามได้ง่าย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อตัวผู้เล่นวอลเลย์บอล ที่จะนำมาประยุกต์ใช้กับชีวิตประจำวันให้เกิด ประโยชน์ต่อตนเองและสังคมอีกด้วย
๕. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่เล่นได้โดยไม่จำกัดเวลา ถ้าหากผู้เล่นรู้จักการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ ซึ่งอาจ จะเล่นตอนเช้า สาย บ่าย เย็นหรือแม้แต่ในเวลากลางคืนก็ได้ถ้ามีแสงสว่างเพียงพอ และเล่นได้ทั้งในที่ร่ม หรือกลางแจ้ง
๖. การเล่นวอลเลย์บอล ผู้เล่นต่างก็อยู่ในแดนของตนเองและมีตาข่ายขึงกั้นกลางสนาม ทำให้ไม่มีโอกาสที่จะปะทะกันระหว่างผู้เล่นทั้งสองฝ่าย จึงไม่ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้น
๗. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่ช่วยส่งเสริมบุคลิกภาพของผู้เล่นอย่างหนึ่ง เพราะผู้เล่นจะต้องถูกฝึกให้มีระเบียบ มีวินัย มีเหตุมีผล รู้จักการเป็นผู้นำผู้ตาม และมีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะเป็นการ ปลูกฝังนิสัย อันมีผลที่จะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันด้วย
๘.วอลเลย์บอลเป็นกีฬาที่มีกฎกติกา ผู้เล่นต้องเคารพและปฏิบัติตามกฎกติกาการเล่น ดังนั้นการเล่นวอลเลย์บอล ย่อมช่วยสอนให้ผู้เล่นรู้จักความยุติธรรม มีความอดทนอดกลั้นรู้จักเคารพสิทธิของผู้อื่น
๙. วอลเลย์บอลเป็นกีฬาประเภทหนึ่ง ที่ช่วยเสริมสร้างสมรรถภาพทางด้านร่างกายให้มีความสมบูรณ์ แข็งแรง เพราะผู้เล่นจะต้องฝึกให้ร่างกายแข็งแรง มีความอดทน มีความคล่องแคล่วว่องไว มีพลังและความเร็ว เมื่อร่างกายได้ออกกำลังกายแล้วยังช่วยให้ ระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้ทำงานประสานสัมพันธ์กันเป็นอย่างดีและมีประสิทธิภาพ มากยิ่งขึ้น เมื่อร่างกายแข็งแรงก็จะช่วยเพิ่มความสามารถ ของร่างกายให้มีความต้านทาน ได้ดีด้วย
๑๐. กีฬาวอลเลย์บอลเหมือนกับกีฬาประเภทอื่น ๆ ที่สร้างความมีน้ำใจนักกีฬา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ การรู้จักแพ้ ชนะและอภัย นอกจากนี้ยังเป็นเครื่องมือในการเป็นสื่อกลาง ก่อให้เกิดความสนิทสนมคุ้นเคยและมีสัมพันธ์ไมตรีอันดีต่อกัน ทั้งระหว่างภายในประเทศ และระหว่างประเทศได้อย่างดี
๑๑. ปัจจุบันผู้เล่นวอลเลย์บอลที่มีความสามารถสูง ยังมีสิทธิ์ได้เข้ามาศึกษาต่อในระดับสูง บางสาขา บางสถาบัน ทั้งสถานการศึกษาของรัฐและเอกชน นอกจากนี้ยังมีหลายหน่วยงาน รับบุคคลที่เป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลเข้าทำงาน เพราะวอลเลย์บอลกำลังเป็นกีฬาที่นิยม ของวงการทั่วไปและมีการแข่งขันกันอยู่เป็นประจำ

มารยาทของผู้เล่นกีฬาวอลเลย์บอลที่ดี

การเล่นกีฬาทุกชนิดย่อมมีการแสดงออกถึงพฤติกรรมต่างๆ ทางด้านร่างกายที่สอดคล้องกับ กติกาข้อบังคับ ระเบียบและลักษณะของกีฬา แต่ละประเภท ซึ่งผู้เล่นจะต้องประพฤติปฏิบัติให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย และเหมาะสมกับจรรยานักกีฬาจึงจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล่นที่มีมารยาทดี หากผู้เล่นประพฤติปฏิบัติไม่เหมาะสม ไม่ถูกระเบียบกติกา จะทำให้ผู้ดูรอบสนามและผู้เกี่ยวข้องติเตียนได้ อีกทั้งเป็นสาเหตุที่ก่อให้เกิดการทะเลาะ วิวาทขึ้น ดังนั้นผู้เล่นกีฬาวอลเลย์บอล ควรจะคำนึงถึงมารยาทที่ดีดังนี้
๑. แต่งกายด้วยชุดที่เหมาะสมกับการเล่นวอลเลย์บอล ในการแข่งขันนั้นผู้เล่นต้อง แต่งกายตามกติกา แต่ในการเล่นทั่วไปเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อออกกำลังกาย ควรจะแต่งกายให้เหมาะสม บางคนสวมรองเท้าแตะหรือแต่งชุดไปเที่ยวลงเล่น เป็นต้น ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บระหว่างการเล่นได้ ๒. ไม่แสดงกิริยาเสียดสีล้อเลียน หรือกล่าวถ้อยคำที่ไม่สุภาพต่อผู้เล่นฝ่ายเดียวกัน หรือฝ่ายตรงข้าม หรือผู้ชม ๓. เล่นตามกติกาที่กำหนดไว้ โดยปฏิบัติตามระเบียบกติกาการเล่นอย่างเคร่งครัด๔. มีความสุภาพเรียบร้อย แสดงความเป็นมิตรและให้เกียรติแก่ผู้เล่นฝ่ายตรงข้าม ก่อนและ หลังการแข่งขันเสร็จสิ้นลงควรจับมือผู้เล่น ของทีมตรงข้ามไม่ว่าทีม จะแพ้หรือชนะก็ตาม ๕. ไม่โต้เถียงหรือแสดงกิริยาอาการที่ไม่เหมาะสมแก่ผู้ตัดสินในการตัดสิน ๖. มีใจคอหนักแน่น อดทน อดกลั้น และสามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ ถึงแม้ว่าผู้เล่นฝ่ายเดียวกันผิดพลาดก็ไม่ควรแสดงอาการไม่พอใจ๗. เชื่อฟังคำสั่งของหัวหน้าทีม และโค้ช๘. มีความรับผิดชอบในหน้าที่ที่ตนได้รับมอบหมาย๙. รู้จักระงับอารมณ์ เมื่อเกิดการยั่วยุจากฝ่ายตรงข้าม๑๐.เมื่อเล่นกีฬาแพ้หรือชนะไม่ควรดีใจหรือเสียใจจนเกินไป๑๑.การเล่นกีฬาต้องเล่นอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ๑๒.ต้องมีน้ำใจนักกีฬารู้แพ้ รู้ชนะ รู้อภัย๑๓.มีความตั้งใจในการฝึกซ้อม และมีความอดทน๑๔.มีความอดกลั้นและไม่ใช้อารมณ์รุนแรง๑๕.ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่นในขณะฝึกซ้อมหรือแข่งขัน๑๖. หลังจากการฝึกซ้อมหรือเล่นแล้วควรเก็บอุปกรณ์ให้เรียบร้อย
มารยาทของผู้ชมกีฬาวอลเลย์บอลที่ดี
วัตถุประสงค์ที่สำคัญในการดูกีฬาก็เพื่อเป็นการพักผ่อนหย่อนใจ หาความสนุกสนาน เพลิดเพลิน ช่วย คลายความตึงเครียด และเป็นการเสริมสมรรถภาพทางด้านจิตใจให้มีความสุข ผู้ดูกีฬาที่ดีต้องทำใจให้ได้ว่า แพ้หรือชนะก็ตาม ต้องไม่แสดงพฤติกรรมหรือกริยามารยาท ที่ไม่สุภาพเรียบร้อยทั้งคำพูด หรือท่าทาง ซึ่งอาจเป็นเหตุก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท ดังนั้นผู้ดูกีฬาที่ดีพึงปฏิบัติดังนี้
๑. แสดงความยินดีด้วยการปรบมือให้แก่ผู้เล่นที่เล่นดี มีมารยาทดี๒. ไม่เชียร์ในสิ่งที่เป็นการเสียดสีในทางไม่ดีต่อทีมใดทีมหนึ่ง๓. ไม่กระทำตัวเป็นผู้ตัดสินเสียเอง เช่น การตะโกนด่าว่าผู้ตัดสิน เป็นต้น๔. ไม่กระทำสิ่งใด ๆ ที่ทำให้ผู้ตัดสินหรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ปฏิบัติงานไม่สะดวก๕. นั่งชมด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อยในที่ที่จัดไว้ให้ ไม่ยืนเกะกะบังผู้อื่น๖. ปรบมือให้เกียรติเมื่อกรรมการผู้ตัดสิน และนักกีฬาลงสู่สนาม๗. ไม่กล่าวถ้อยคำ ส่งเสียงโห่ร้องหรือแสดงกิริยาเยาะเย้ยถากถางผู้เล่นที่เล่นผิดพลาด หรือผู้ตัดสินตัดสินไม่เป็นไปตามความต้องการของตนเอง ๘. ปรบมือแสดงความยินดีแก่ผู้ชนะ ผู้เล่นที่ได้รับรางวัล๙. ไม่แสดงกริยาท่าทาง ส่งเสียง ยั่วยุ ให้ผู้เล่น ไม่มีสมาธิหรือเกิดการทะเลาะวิวาท๑๐.ไม่แสดงกริยาที่ไม่สุภาพ หรือใช้สิ่งของขว้างปานักกีฬา กรรมการตัดสิน หรือผู้ชม๑๑. ควรรู้กติกาการแข่งขันกีฬาที่ตนดู๑๒. การชมเป็นหมู่คณะควรจะนั่งรวมกันเป็นกลุ่ม และเชียร์ด้วยเพลง และภาษาที่สุภาพ๑๓. ช่วยป้องกันไม่ให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันขึ้ในการดูกีฬา๑๔. ช่วยห้ามปรามหรือตักเตือนเพื่อนฝูง ไม่ให้ก่อเหตุวุ่นวายขึ้ในการดูกีฬา๑๕. ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยเมื่อเกิดเหตุวุ่นวาย ในสนาม๑๖. ติดตาม สนับสนุน ให้กำลังใจ และให้เกียรตินักกีฬาทุกประเภท เพื่อเป็นการส่ง เสริมการกีฬาของชาติ

การบำรุงรักษาอุปกรณ์กีฬาวอลเลย์บอล
อุปกรณ์การเล่นวอลเลย์บอลควรได้รับการดูแลและเก็บรักษาให้ดี เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการใช้งานให้ นานที่สุด เพื่อความประหยัดและเป็นการปลูกฝังให้ผู้เล่นเกิดนิสัยรักความมีระเบียบ โดยมีหลักปฏิบัติดังนี้๑. มีชั้นหรือตู้เก็บอุปกรณ์ไว้โดยเฉพาะ และควรเก็บแยกประเภทให้เรียบร้อยเพื่อ สะดวกในการนำมาใช้๒. อุปกรณ์ที่ชำรุด เช่น ส่วนหนึ่งส่วนใดของตาข่ายขาดให้รีบซ่อมแซมทันที การปล่อย ทิ้้งไว้จะทำให้ เสียหาย มากขึ้น๓. อย่าขึงตาข่ายไว้กลางแจ้งให้ถูกแดดฝนเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้ตาข่าย ชำรุดเสียหายอายุการใช้งาน ไม่นานเท่าที่ควร๔. อย่าให้ลูกวอลเลย์บอลที่ทำด้วยหนังถูกน้ำนาน ๆ เพราะจะเป็นการเพิ่มน้ำหนัก ให้มากขึ้น ควรใช้ผ้าเช็ดให้แห้งทันทีก่อนที่จะนำลูกบอลมาเล่นต่อไป๕. ทำความสะอาดลูกบอลทุกครั้งด้วยการใช้ผ้าแห้งเช็ด ก่อนที่จะนำไปเก็บ๖. การสูบลมหรือปล่อยลมออกจากลูกบอลควรใช้เข็มที่ใช้กับลูกวอลเลย์บอลโดยเฉพาะ ถ้าใช้ของแหลมชนิดอื่นจะทำให้ลูกวอลเลย์บอลชำรุดได้ง่าย๗. หมั่นเช็ด กวาด ถู พื้นสนามเล่นให้สะอาดอยู่เสมอ๘. อย่าสูบลมให้ลูกวอลเลย์บอลแข็งจนเกินไป จะทำให้หนังของลูกวอลเลย์บอลปริ มีอายุ การใช้งานน้อย๙. หลังจากเล่นกีฬาวอลเลย์บอลเสร็จแล้วต้องผ่อนตาข่ายที่ขึงตึง ให้หย่อนลง

ความปลอดภัยในการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล
การเล่นกีฬาทุกประเภทย่อมก่อให้เกิดการพัฒนาทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ และสังคมอย่างแน่นอน ส่วนจะเกิดการพัฒนาหรือผู้เล่นกีฬาจะได้รับประโยชน์มากหรือน้อย นั้น ย่อมขึ้นอยู่กับเกมกีฬา วิธเล่น ระยะเวลา ของการเล่นกีฬา และปัจจัยอื่นหลายประการ แต่อย่างไร ก็ตามการเล่นกีฬาที่ไม่เหมาะสมกับสภาพของร่างกาย สุขภาพ อนามัย กาลเทศะ หรือความพอดีใน การออกกำลังกายแล้วอาจก่อให้เกิดอันตรายขึ้นได้เช่นกัน ด้วยเหตุนี้ การเล่นกีฬาจึงควรได้พิจารณาเกี่ยวกับหลักความปลอดภัยในหลาย ๆ ด้าน สำหรับการเล่นกีฬาวอเลย์บอลให้ปลอดภัย ควรปฏิบัติดังนี้
๑. ก่อนเล่นกีฬาวอลเลย์อลทุกครั้งต้องอบอุ่นร่างกายเสียก่อน โดยเฉพาะข้อมือ ข้อเท้า เข่า ฯลฯ ให้มาก ๒. ต้องแต่งกายชุดเล่นกีฬาให้เหมาะสมกับการเล่นกีฬาวอลเลย์บอล ๓. ต้องตรวจสอบอุปกรณ์และสนามให้อยู่ในสภาพที่เรียบร้อย มั่นคงแข็งแรง พร้อมที่จะฝึกซ้อมได้ ๔. ต้องเล่นด้วยความระมัดระวัง และเล่นตามหลักการและวิธีการของการเล่น กีฬาวอลเลย์บอล ๕. ไม่ล้อเลียนหรือกลั่นแกล้งกันในขณะฝึกซ้อม ๖. ไม่เล่นหรือฝึกซ็อมจนเกินกำลังความสามารถของร่างกายและไม่เล่นหักโหม ๗. ควรจะฝึกจากท่าที่ง่ายไปหาท่าที่ยากขึ้นและฝึกแบบค่อยเป็นค่อยไป ๘. ไม่ควรฝึกซ้อมในที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ง่าย ๙. ไม่ควรฝึกซ้อมในสนามกลางแจ้งในขณะที่มีฝนตก ฟ้าร้อง หรือแดดร้อนจัด ๑๐. ไม่ควรฝึกซ้อมหรือเล่นวอลเลย์บอลหลังอิ่มอาหารใหม่ ๆ

ความเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬา
ลักษณะของความเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬาคือ จะแพ้ หรือชนะไม่สำคัญ ข้อสำคัญคือ ได้มีส่วนร่วมในการแข่งขัน และได้ทำการแข่งขันอย่างเต็มความสามารถ เชื่อฟังผู้ตัดสินไม่ฝ่าฝืนกฏกติกาของการเล่น รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย ฯลฯ ซึ่งมีหลักการปฏิบัติเพื่อแสดงความเป็นผู้มีน้ำใจนักกีฬา คือ๑. ปฏิบัติตามกฏกติกาของการเล่น๒. ซื่อสัตย์สุจริตต่อคู่แข่งขัน และเพื่อนฝูง๓. เป็นผู้รู้จักข่มใจ รักษาสติไม่ให้โมโหโทโส๔. เป็นผู้ที่รักษาสุขภาพให้ดีอยู่เสมอ๕. หากปราชัยก็ทำใจให้หนักแน่น๖. หากมีชัยก็ไม่แสดงความภูมิใจจนออกนอกหน้า๗. เป็นผู้ที่ผุดผ่องทั้งกาย วาจา ใจ อยู่เสมอ๘. เล่นกีฬาเพื่อชั้นเชิงของการกีฬา ไม่ใช่เล่นกีฬาเพื่อจะทะเลาะวิวาทกัน๙. เป็นผู้มีใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผือแผ่ ๑๐.เป็นผู้สุภาพอ่อนโยน๑๑.เป็นผู้มีใจคอกว้างขวาง๑๒.เป็นผู้มีความอดทน กล้าหาญ๑๓.เป็นผู้มีความเชื่อฟังและเคารพต่อเหตุผล๑๔.เป็นผู้รักษาความยุติธรรม๑๕.เป็นผู้รู้แพ้ รู้ชนะ และรู้อภัย